เมื่อใบหน้าใสๆต้องกลายมาเป็นสิว ก็คงอดไม่ได้ที่จะเกิดความกังวลว่า ควรจะทำอย่างไรให้สิวเหล่านั้นหายไปจากใบหน้าของเราเสียที แต่ก่อนที่จะรู้วิธีที่ถูกต้องในการรักษาก็จำเป็นจะต้องทราบเสียก่อนว่า สิวที่ผุดขึ้นอยู่บนใบหน้าของคุณนั้น เป็นสิวประเภทไหนกันแน่ ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะรักษามันให้ถูกวิธีที่สุดนั่นเอง

สิวที่เกิดขึ้นบนผิวหนังของเรานั้นมีอยู่หลายประเภท เรามาไล่ทำความรู้จักกันมันกันเลยค่ะ
กลุ่มแรก เราจะเรียกมันว่า “สิวไม่อักเสบ (non-inflammatory acne)” แบ่งออกได้ย่อยๆอีก 2 ชนิดคือ สิวหัวปิด หรือสิวหัวขาว (closed or white head comedones) และ สิวหัวเปิด หรือสิวหัวดำ (open or black head comedones )
โดยหากเป็นสิวที่เรียกว่า ‘สิวหัวปิด หรือสิวหัวขาว’ ลักษณะของเม็ดสิวจะเป็นตุ่มนูนขนาดเล็กเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1-3 มิลลิเมตร และมองเห็นเป็นสีเดียวกับผิวหนัง แม้สิวประเภทนี้จะดูเหมือนไม่ค่อยน่าเป็นกังวลใจเท่าไรนัก เนื่องจากก้อนไขมันยังไม่เปิดสู่สภาวะภายนอก และท่อเปิดของต่อมไขมันที่ตุ่มเหล่านี้แทบจะมองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่าเลย อย่างไรก็ตาม กว่า 75 % ของสิวชนิดนี้ มีโอกาสที่จะพัฒนากลายเป็นสิวอักเสบต่อไปในอนาคตได้ หากดูแลใบหน้าได้ไม่ดีเพียงพอ
สิวอีกหนึ่งชนิดที่ยังจัดอยู่ในประเภทสิวไม่อักเสบ ก็คือ ‘สิวหัวเปิด หรือสิวหัวดำ’ ซึ่งเราจะสังเกตได้ว่าสิวชนิดนี้จะมีขนาดใกล้เคียงกับสิวหัวปิด กล่าวคือ จะเป็นตุ่มนูนๆขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-3 มิลลิเมตร แต่จุดที่แตกต่างกันของสิวชนิดนี้จะพบว่า ก้อนไขมันข้างในจะถูกผลักออกมาสู่ภายนอก จนสังเกตุเห็นเป็นจุดสีดำอยู่ตรงกลางเม็ดสิวที่เกิดขึ้นจากการขยายตัวของท่อไขมัน ส่วนสารสีดำๆ ที่อุดแน่นอยู่ภายในจะประกอบไปด้วย เคอราติน ไขมัน และเชื้อโรค P.acnes อย่างไรก็ตามสิวชนิดนี้ยังสามารถรักษาได้ง่าย เนื่องจากยังไม่เกิดการอักเสบนั่นเอง
สิวอีกกลุ่มหนึ่งที่อาการค่อนข้างร้ายแรงกว่าสิวกลุ่มแรก ก็คือ “สิวอักเสบ (Inflammatory acne)” ซึ่งสิวประเภทนี้มักจะเป็นแบบเรื้อรัง รักษาได้ยาก และอาจเกิดแผลเป็นหรือคีลอยด์ตามมาได้ สิวอักเสบสามารถแบ่งออกได้ตามลักษณะอาการดังต่อไปนี้
‘สิวหัวแดง หรือ Papules’ จะมีลักษณะเป็นตุ่มนูนแข็งสีแดง และมีขนาดแตกต่างกันออกไปตามแต่บุคคลและสถานการณ์ ครึ่งหนึ่งของการเกิดสิวชนิดนี้มักเกิดจากสิวที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า (microcomedones) อีก 25% จะเกิดจากสิวหัวปิด ส่วน 25%ที่เหลือ จะเกิดจากสิวหัวเปิด
สิวชนิดต่อไปมีชื่อว่า ‘สิวหัวหนอง หรือ Pustules’ ซึ่งแบ่งได้ทั้งแบบชนิดตื้นและชนิดลึก สิวชนิดนี้มีโอกาสเกิดได้ทั้งเม็ดเล็กและเม็ดใหญ่ แต่พบว่าหากเป็นสิวหนองชนิดตื้นจะหายได้เร็วกว่าสิวหัวแดง ส่วนผู้ที่เป็นสิวหนองชนิดลึกจะมีอาการเจ็บร่วมด้วย และมักพบในผู้ที่เป็นสิวขั้นรุนแรง
‘สิวหัวช้าง หรือ Nodules’ แค่ฟังชื่อก็น่ากลัวแล้ว เพราะสิวชนิดนี้จะมีลักษณะเด่นที่ขนาดที่ใหญ่โตกว่าสิวชนิดอื่นๆ สิวหัวช้างจะ มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ 8 มิลลิเมตรขึ้นไป อีกทั้งยังเป็นตุ่มนูนอักเสบแดง ที่เมื่อใครเป็นแล้วก็จะรักษาหายได้ยากกว่าสิวชนิดอื่นๆ แถมยังมีโอกาสเกิดแผลเป็นตามมาได้หากดูแลรักษาไม่ดี แม้ว่าเม็ดสิวที่เคยเป็นจะถูกรักษาให้หายขาดแล้วก็ตาม
ต่อมากันที่ ‘สิว Cyst’ สิวชนิดนี้เรียกได้ว่าเป็นสิวที่น่ากลัวมากที่สุด เนื่องจากมีขนาดที่ใหญ่ และเป็นบริเวณถุงใต้ผิวหนัง ภายในสิวชนิดนี้จะมีหนองหรือสารเหลวๆ คล้ายเนยบรรจุอยู่ภายใน ซึ่งเมื่อเรารักษาสิวชนิวนี้ให้หายแล้ว ก็มักจะมีแผลเป็นหลงเหลือให้เห็นได้อยู่เสมอ
ภาพจาก : http://thevitamincserum.com/2014/09/04/can-acne-a-disease-of-the-skin-be-cured/
จะเห็นได้ว่าสิวที่มีโอกาสเกิดขึ้นบนใบหน้าของเรานั้นมีได้หลากหลายประเภท ซึ่งสาเหตุหลักๆก็มาจากการรักษาความสะอาดบนใบหน้าที่ไม่ดีพอ ซึ่งเมื่อเราเกิดสิวขึ้นแล้ว สิ่งที่เราจะทำได้ดีที่สุดก็คือการพยายามไม่ไปแตะต้อง แคะ แกะ หรือบีบสิวเหล่านี้ เพราะจะยิ่งมีผลให้สิวลุกลามหรือกลายเป็นแผลเป็นติดตรึงอยู่บนใบหน้าคุณได้
หากเมื่อใดที่คุณห้ามใจไม่ไหวและเผลอไปบีบเค้นทำลายสภาพแผลสิวให้หลุดลุ่ย ร่องรอยแผลที่เกิดจากสิวก็จะปรากฎขึ้นบนใบหน้าของคุณ โดยมักจะพบเป็นรอยสีน้ำตาลดำที่บริเวณตำแหน่งหลังสิวยุบไป ร่องรอยเหล่านี้จะอยู่กับคุณยาวนานหลายเดือน แล้วจึงจะค่อยๆ จางหายไปเองในที่สุด ซึ่งระยะเวลาในการลบเลือนริ้วรอยก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการดูแลผิวหนังของแต่ละบุคคล ว่าจะกำจัดมันออกไปได้เร็วหรือช้ามากน้อยเพียงใด
สิวจึงไม่ใช่เพียงสิ่งรบกวนที่เข้ามามีผลกระทบต่อความงามบนใบหน้าของคุณแค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่ยังมีโอกาสฝังลึกและติดตรึงอยู่กับคุณไปได้อีกนานหากขาดการดูแลใส่ใจที่ดี หากคุณยังไม่อยากจะมีสิวเป็นเพื่อนรู้ใจ ก็ควรอย่างยิ่งที่จะต้องรักษาความสะอาดของใบหน้าด้วยวิธีที่ถูกต้อง หรือใช้ผลิตภัณฑ์ควบคุมความมันบนใบหน้าเพื่อลดโอกาสการเกิดสิว เพียงเท่านี้ก็น่าจะช่วยให้คุณห่างไกลจากวายร้ายทำลายผิวได้แล้วละค่ะ