เด็กไทยกับการแพ้นมวัวถือเป็นปัญหาที่มีมาแต่ช้านานและทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เด็กไทยจำนวนไม่น้อยที่จะต้องโชคร้ายไม่สามารถดื่มรับประทานนมวัวได้เหมือนกับคนอื่นๆ ซึ่งอาจมีผลให้เด็กเหล่านี้เจ็บป่วยได้ง่าย และมีพัฒนาการทางร่างกายหรือสมองที่ช้ากว่าเด็กปกติทั่วไป ปัญหาเช่นนี้จะต้องได้รับการแก้ไขอย่างไร หรือทำได้แค่เพียงปล่อยไว้ให้เป็นไปตามโชคชะตา คำตอบอยู่ที่นี่แล้วค่ะ
โดยส่วนใหญ่ อาการแพ้นมวัวของเด็กไทยยังไม่ได้รับการรักษาที่ถูกวิธี ที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องมาจากการที่พ่อแม่ไม่ทราบว่าอาการแพ้ที่เกิดขึ้นกับลูกน้อยของตนนั้นเกิดจากสาเหตุใด โดยทั่วไป อาการแพ้นมวัวจะมีลักษณะไม่แตกต่างไปจากอาการเจ็บป่วยอื่นๆที่สามารถพบได้ทั่วไปในทารก เช่น เป็นหวัด อาเจียน ท้องเสีย ถ่ายเหลว มีผื่น หรือมีลมพิษขึ้นตามร่างกาย ฉะนั้นจึงมีเด็กไม่ถึง 20% ที่พ่อแม่ทราบว่าอาการผิดปกติเกิดขึ้นมาจากการแพ้นมวัว และนำบุตรหลานของตนไปรักษาได้อย่างถูกวิธี

สถิติของเด็กทารกที่แพ้นมวัวในประเทศไทยมีอัตราที่สูงและรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเด็กไทยมีแนวโน้มการแพ้โปรตีนจากนมวัวโดยเฉลี่ยอยู่ที่ปีละประมาณ 30,000-40,000 ราย ซึ่งอาการแพ้นมวัวนี้ถือเป็นอาการที่น่ากลัวและจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขโดยด่วน และถึงแม้ว่าจะมีนมชนิดอื่นที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อแก้อาการเหล่านี้ แต่ก็ยังพบว่ายังไม่สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์
นอกจากนี้ยังพบว่า นมชนิดที่เคยรักษาอาการแพ้นมวัวได้ดีในอดีต ปัจจุบันกลับมีผลการรักษาที่น้อยลงเนื่องจากอาการแพ้นมนั้นมีความรุนแรงมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เมื่อประมาณ 20 ปีก่อนนมถั่วเคยสามารถรักษาอาการแพ้นมได้ประมาณ 70% ของจำนวนเด็กทั้งหมดที่มีอาการ แต่ปัจจุบันนมชนิดนี้สามารถรักษาอาการแพ้ได้ไม่ถึง 30% เป็นต้น ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้การรักษาทารกที่มีอาการแพ้รุนแรงยังจำเป็นต้องนำเข้านมชนิดพิเศษมาจากต่างประเทศ ซึ่งนมเหล่านี้มีราคาที่สูงมาก โดยบางชนิดอาจมีราคาแพงถึงกระป๋องละ 2,000-3,000 บาทต่อ 2-3 ลิตร หรือคิดเป็นลิตรละประมาณ 1,000 บาทเลยทีเดียว
ด้วยเหตุนี้เอง จึงได้มีการพัฒนานมสำหรับเด็กทารกสูตรใหม่ที่เหมาะสมสำหรับเด็กที่มีอาการแพ้นมวัวที่เรียกว่า “นมข้าวอะมิโน” ออกมา นมชนิดนี้ถูกคิดค้นโดย ศ.นพ.พิภพ จิรภิญโญ กุมารแพทย์ หน่วยโภชนาการ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ผู้เชี่ยวชาญด้านการแก้ไขอาการแพ้นมวัวในเด็ก ซึ่งนมชนิดนี้มีความแตกต่างจากนมทั่วไปตรงที่ นมข้าวอะมิโนจะไม่มีส่วนประกอบของโปรตีนในนมวัวที่เด็กส่วนใหญ่มักมีอาการแพ้กัน แต่การรับประทานนมข้าวอะมิโนนี้จะทำให้เด็กได้รับโปรตีนจากข้าวที่มีคุณประโยชน์ที่ดีไม่แพ้กัน
จากการศึกษาของศ.นพ.พิภพพบว่า เด็กที่แพ้โปรตีนจากนมหลายชนิดมักไม่แพ้โปรตีนที่สกัดจากแป้งข้าวเจ้า เนื่องจากมีส่วนประกอบของสารก่อภูมิแพ้ที่ต่างกัน ด้วยเหตุนี้เองจึงได้มีการนำเอาแป้งข้าวเจ้ามาพัฒนาเป็นน้ำตาลข้าวโพลีเมอร์ที่มีโปรตีนต่ำเพียง 0.04% และสัดส่วนของสารอาหารอื่นๆ ได้แก่ กลูโคส 11% มอลโตส 13% มอลโตไตรโอส 8% มอลโตเตตราโอส 7% มอลโตเพนตาโอส 23% มอลโตเฮกซาโอส 6% และอื่นๆ 32% ซึ่งชนิดและปริมาณของน้ำตาลเหล่านี้จะทำให้ง่ายต่อการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย จากนั้นจึงนำมาผสมกับไขมันมาจากน้ำมันพืช และโปรตีนมาจากกรดอะมิโน ที่ทำให้นมข้าวอะมิโนนี้ เต็มไปด้วยสารอาหารที่เหมาะสมต่อการเลี้ยงทารกและไม่เกิดอาการแพ้แต่อย่างใด นอกจากนี้ ในนมข้าวอะมิโนยังมีสารประกอบอื่นๆ ได้แก่ วิตามิน เกลือแร่ พรีไปโอติก และดีเอชเอ ที่สามารถใช้เป็นสารอาหารเพื่อเลี้ยงทารกได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ และยังมีภูมิต้านทานเทียบที่เท่ากับนมผงทั่วๆไปด้วย

นมข้าวอะมิโนนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์ในการรักษาโรค ไม่ใช่การจัดจำหน่ายโดยตรง ดังนั้ ผู้ป่วยที่แพ้นมวัวทุกรายจึงไม่สามารถหาซื้อนมข้าวอะมิโนไปรับประทานเองได้เลยทันที แต่จะต้องเข้ารับการตรวจรักษาและการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ก่อนว่ามีอาการผิดปกติด้านการแพ้นมวัวจริง แพทย์จึงจะสั่งให้รับประทานน้ำนมข้าวอะมิโนเพื่อรักษาอาการนี้ได้
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการผลิตนมข้าวอะมิโนนี้ยังไม่ใช่การผลิตในระดับอุตสาหกรรม ซึ่งจะมีการควบคุมคุณภาพด้านสารอาหารหรือความ ปลอดภัยทางเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นระบบ ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจึงอาจจะยังไม่เหมาะสมต่อการรักษาเด็กเล็กที่มีอายุ 1-2 เดือน แต่สามารถจะใช้กับเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไปได้ แต่ในอนาคตที่มีการพัฒนากระบวนการผลิตให้มีมาตรฐาน และสามารถแปรรูปให้อยู่ในรูปแบบของแห้งที่เป็นผงได้ น่าจะสามารถใช้กับทารกได้ทุกเพศทุกวัย และมีคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่สม่ำเสมอมากยิ่งขึ้น
แม้ว่าในปัจจุบันนมที่ใช้ในการรักษาอาการแพ้นมวัวในเด็กจะยังไม่สมบูรณ์แบบในทุกด้าน แต่มั่นใจได้ว่าเด็กไทยในอนาคตจะต้องมีโอกาสได้รับสารอาหารจากน้ำนมที่มีคุณภาพ หาซื้อหรือเข้าถึงได้ง่าย มีราคาที่ไม่แพงเกินไป และมีสารอาหารที่ครบถ้วนต่อการเจริญเติบโตของทั้งร่างกายและสมองอย่างแน่นอน