หลายคนคงเคยเจอปัญหา ‘ลดน้ำหนักแทบตาย สุดท้ายอ้วนขึ้นกว่าเดิม’ พร้อมกับมีคำถามว่าตนเองทำอะไรผิดไป ในเมื่อลดอาหารก็ลดแล้ว ออกกำลังกายก็ออกได้มากกว่าเดิม แต่ทำไมน้ำหนักเจ้ากรรมยังไม่มีแนวโน้มจะลดลงซะที วันนี้เราจะมาชี้จุดต้องสงสัยที่ทำให้คุณร้องอ๋อออกมาแน่นอนค่ะ

น้ำสลัดทำพิษ
ว่ากันว่าอยากลดน้ำหนักต้องกินผักเยอะๆ ทำให้สาวๆทั้งหลายยอมที่จะต้องอดอาหารโปรด แล้วหันมารับประทานสลัดผักแทน อย่างไรก็ตามถ้าจะให้กินสลัดผักเปล่าเพียงอย่างเดียวก็คงจะไม่อร่อยถูกปากเท่าไรนัก สาวๆจึงเลือกที่จะราดน้ำสลัดเพิ่มเพิ่มรสชาติให้แก่ชามสลัดของพวกเขา โดยไม่รู้เลยว่าเจ้าน้ำสลัดนี้เองที่เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้น้ำหนักไม่ลดสักที คุณรู้หรือไม่ว่า การรับประทานน้ำสลัดแบบครีมนั้นให้พลังงานมากพอๆกับการรับประทานแป้งหรือข้าวเลยละ โดยน้ำสลัดครีมที่คุณรับประทานเพียง 2-3 ช้อนชา จะให้พลังงานสูงถึง 100 กิโลแคลอรี ที่เมื่อเทียบกับการรับประทานข้าวแล้ว ก็สูงมากกว่าการรับประทานข้าว 1 ทัพพีเสียอีก ฉะนั้น หากคิดอยากจะลดน้ำหนักแล้ว ก็ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานสลัดผักกับน้ำสลัดประเภทครีม แต่อาจจะหันไปใช้น้ำสลัดแบบใสที่ให้พลังงานต่ำกว่าแทน อีกทั้งควรเน้นการรับประทานผักผลไม้ในอัตราส่วนที่มากกว่า โดยเลือกผักผลไม้ที่มีเส้นใยอาหารสูงแต่ให้พลังงานต่ำแทน
กินผลไม้ไม่อ้วนจริงหรือ?
แนวความคิดที่ว่า “กินผลไม้ไม่อ้วนหรอก” ไม่ใช่ความคิดที่ถูกต้องเสมอไป เพราะผลไม้แต่ละชนิดก็มีส่วนประกอบของสารอาหารที่ไม่เท่ากัน บ้างก็มีน้ำตาลสูง หรือบ้างก็มีใยอาหารที่มากกว่า การจะเหมาว่าผลไม้ทุกชนิดสามารถรับประทานแทนอาหารมื้อหลักเพื่อลดความอ้วนได้นั้น จึงเป็นความคิดที่ผิดมหันต์เลยทีเดียว ซึ่งผลไม้ที่เราควรจะหลีกเลี่ยงหรือควรรับประทานแต่น้อย ก็จะเป็นผลไม้จำพวกที่มีปริมาณน้ำตาลสูง เช่น ทุเรียน ลองกอง ลำไย มะม่วงสุก เงาะ เป็นต้น แล้วหันมารับประทานอาหารที่ให้ใยอาหารที่มากแต่มีน้ำตาลที่น้อยกว่า เช่น ฝรั่ง ชมพู่ แอปเปิล ส้ม เป็นต้น วันละไม่เกิน 2 ผลแทน รับรองว่าหากทำได้เช่นนี้จริงๆ คุณจะต้องมีน้ำหนักที่ลดลงอย่างแน่นอน

ลดแป้ง ลดไขมันก็แล้ว ทำไมยังบวมอยู่?
แน่นอนว่าการอดอาหารเป็นสิ่งแรกๆที่คนกำลังลดน้ำหนักคิดว่าทำแล้วจะได้ผล บางคนเริ่มอดอาหารตั้งแต่ข้าวเช้า ข้าวกลางวัน แต่ดันมาตบะแตกเอาเสียตอนกลางคืน ทำให้แทนที่น้ำหนักจะลดกลับเพิ่มมากกว่าเดิมเสียอีก เพราะปริมาณอาหารที่เรารับประทานเข้าไปนั้นจะมากกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัวเพื่อชดเชยความหิวโหยที่สู้อดทนมาตั้งแต่เช้า และพฤติกรรมเช่นนี้ก็จะวนกลับมาเป็นซ้ำในวันรุ่งขึ้น ซึ่งนั่นก็คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้เราไม่ผอมสักทีนั้นเอง นอกจากนี้การที่เราพยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่มีพลังงานสูงติดต่อกันนานกว่าสองสัปดาห์ ระบบเผาผลาญของร่างกายจะปรับตัวให้ทำงานได้น้อยลง ทั้งนี้ก็เป็นกลไกที่คอยปกป้องร่างกายเพื่อความอยู่รอดของชีวิตนั่นเอง ซึ่งเมื่อระบบเผาผลาญทำงานน้อยลงเรื่อยๆ แต่ถ้ามื้อใดมื้อหนึ่งคุณเกิดกินเยอะขึ้นมา ร่างกายก็จะไม่สามารถเผาผลาญพลังงานได้เท่าเดิม และนั่นก็เป็นสาเหตุให้คุณมีโอกาสสะสมไขมันได้มากขึ้น หรือทำให้น้ำหนักจะกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็วอีกครั้งนั่นเอง การควบคุมการได้รับพลังงานอย่างเหมาะสมจึงไม่ควรต่ำกว่า 1,200-1,500 แคลอรีต่อวัน เพื่อให้ร่างกายไม่จำเป็นต้องปรับตัวมากเกินไป

ออกกำลังกายให้ต่อเนื่อง
หลายคนตั้งใจที่จะออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญไขมันส่วนเกิน แต่อาจจะยังทำได้ไม่ต่อเนื่องเพียงพอที่ร่างกายจะดึงเอาไขมันที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนังออกมาใช้เป็นพลังงาน การออกกำลังกายแบบไม่สุดนี้ จะมีผลร่างกายของเราให้ดึงเอาน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดมาใช้เป็นพลังงานแทน ซึ่งก็จะส่งผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ จนเกิดรู้สึกหิวและต้องหาอะไรมากินรองท้องหลังการออกกำลังกาย โดยคนพวกนี้มักคิดไปเองว่า การออกกำลังที่เพิ่งทำผ่านไปนั้นจะช่วยเผาผลาญพลังงานมากกว่าที่กินทดแทนเข้าไปได้ ซึ่งบางครั้งบางที ความหิวก็ทำให้เราไม่สามารถควบคุมความต้องการของตนเองได้ จนอาจจะเผลอรับประทานมากไปกว่าที่เพิ่งออกกำลังกายไป และนี่ก็คือสาเหตุที่เราไม่ผอมสักทีนั่นเอง ดังนั้น วิธีการที่ดีที่สุด ก็คือ จะต้องพยายามออกกำลังกายที่เน้นการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างต่อเนื่อง เช่น การเดิน การวิ่ง การว่ายน้ำ การเต้นแอโรบิก หรือการปั่นจักรยาน ให้ได้อย่างน้อยวันละ 15 – 20 นาที และทำให้ได้สัปดาห์ละ 3 วันเป็นอย่างต่ำ อีกทั้งควรฝึกความแข็งแรงกล้ามเนื้อควบคู่ไปด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อเร่งการสลายไขมัน ลดน้ำหนัก และช่วยให้หุ่นฟิตแอนด์เฟิร์มมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
ลองพิจารณาดูนะคะว่าการลดความอ้วนที่คุณกำลังทำอยู่ตรงกับข้อมูลข้างต้นตรงไหนบ้าง เพราะถ้าหากทราบถึงข้อผิดพลาดที่เผลอทำไปแล้ว จะได้แก้ไขและเริ่มต้นใหม่ให้ถูกต้องอีกครั้ง การลดน้ำหนักที่ดีจำเป็นจะต้องใช้ทั้งความอดทนและความรู้ทางวิทยาศาสตร์ผสมผสานเข้าด้วยกัน จึงจะทำให้ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าการรอคอยมากที่สุด