เคยสังเกตตัวเองบ้างหรือไม่ว่าคุณให้เวลาต่อการเคี้ยวอาหารคำละกี่ครั้ง และใช้เวลากี่นาทีในการรับประทานอาหารจนหมดจาน
บางคนแทบไม่เคยสนใจตัวเองเลยด้วยซ้ำว่าจะต้องรับประทานอาหารให้ช้าหรือเร็วมากเพียงใด ขอแต่เพียงให้ท้องอิ่มและรสชาติอาหารอร่อยถูกปากก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ?

ด้วยสถานการณ์ที่บีบบังคับ ทำให้เราไม่อาจจะรับประทานอาหารได้นานตามที่ใจต้องการ การเร่งทานอาหารให้หมดจาน จึงเป็นพฤติกรรมที่คนส่วนใหญ่มักเป็นกันโดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วน และเมื่อทำบ่อยเข้าก็ย่อมส่งผลให้พฤติกรรม ‘รีบกิน’ เริ่มติดเป็นนิสัย ทำให้ไม่ว่าจะรับประทานอาหารมื้อใด ก็มักจำเป็นต้องเร่งอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการรับประทานอาหารด้วยวิธีเช่นนี้ไม่ได้เป็นผลดีต่อร่างกายเลย แถมยังจะทำให้คุณ “แย่ลง” อีกด้วย
การเคี้ยวข้าวมีความสำคัญต่อระบบการย่อยอาหารเป็นอย่างมาก แต่ก็มีน้อยคนนักที่จะนึกถึงความสำคัญของการกระทำเช่นนี้ คนส่วนใหญ่มักจะคิดเอาเองว่าอย่างไรเสียอาหารก็จะต้องลงไปกองรวมกันในกระเพาะอาหาร และถูกอวัยวะภายในจัดการย่อยให้เป็นพลังงานอยู่ดี แต่แท้ที่จริงแล้วร่างกายของเราก็มีข้อจำกัดในการย่อยอาหารที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล การที่เราเคี้ยวอาหารไม่ละเอียดจึงอาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้นั่นเอง
ข้อมูลทางการแพทย์ได้ยืนยันออกมาแล้วว่า การเคี้ยวข้าวให้ละเอียดอย่างช้าๆ จะช่วยให้คุณมีสุขภาพที่ดี อายุยืนยาว และส่งผลดีต่อสมองในหลายๆด้านได้จริง ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คำตอบอยู่ที่นี่แล้วค่ะ
ทราบหรือไม่ค่ะว่า การเคี้ยวข้าวแบบไม่ละเอียดมีผลทำให้เราอ้วนขึ้นได้ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะเมื่อเราไม่ใส่ใจที่จะเคี้ยวข้าวให้ละเอียด ก็จะทำให้เราติดนิสัยการทานข้าวเร็ว จนเสี่ยงต่อการรับประทานอาหารที่มากเกินกว่าปริมาณที่ต้องการ เพราะระหว่างที่กระเพาะอาหารส่งสัญญาณไปบอกสมองว่าคุณอิ่มแล้วจะต้องใช้เวลาสักครู่หนึ่งเพื่อประมวลผล ซึ่งหากคุณเป็นคนทานอาหารเร็ว คุณก็จะยังคงรับประทานอาหารต่อเนื่องไปเรื่อยๆในปริมาณมากระหว่างที่รอการประมวลผล ทำให้เมื่อสัญญาณที่ส่งเคลื่อนที่ไปถึงสมอง กระเพาะอาหารก็คงจะเกินคำว่าอิ่มไปแล้วนั่นเอง
นอกจากจะทำให้อ้วนแล้ว การเคี้ยวอาหารแบบไม่ละเอียดก็ยังมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานประเภทที่ 2 ได้มากขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้ มีนักวิจัยจาก Lithuanian University of Health Sciences ออกมาชี้แจงว่า คนที่รับประทานอาหารแบบเร็วๆ จะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานประเภท 2 มากกว่าคนกินช้าถึง 2.5 เท่า เลยทีเดียว
นอกจากนี้ยังพบด้วยว่า หลังการรับประทานอาหารที่เคี้ยวแบบไม่ละเอียด อาจมีผลให้คุณรู้สึกท้องอืดได้ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะการบดเคี้ยวอาหารที่หยาบจนเกินไป ทำให้อวัยวะภายในไม่สามารถย่อยอาหารได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อย่อยอาหารได้ไม่หมดก็เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดอาการท้องอืดและท้องเฟ้อขึ้นมาได้
แล้วการเคี้ยวอาหารให้ละเอียดมีประโยชน์ต่อสมองได้อย่างไร? คำตอบก็คือ การเคี้ยวอาหารจะช่วยให้ต่อมน้ำลายและต่อมใต้หูหลั่งฮอร์โมนออกมา และระหว่างที่เราเคี้ยวอาหารอยู่ก็จะเป็นการเพิ่มปริมาณออกซิเจนในสมองให้สูงขึ้นด้วย ซึ่งปัจจัยที่กล่าวมานี้ส่งผลให้เซลล์สมองทำงานได้ดีขึ้น เลือดในสมองก็จะไหลเวียนได้สะดวกมากขึ้นด้วย ที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ การเคี้ยวอาหารสามารถช่วยกระตุ้นพลังในการคิดและสร้างสมาธิได้เป็นอย่างดี ดังนั้น การมีเวลาเคี้ยวอาหารนานๆย่อมเป็นการเปิดโอกาสให้สมองได้ถูกกระตุ้นทางความคิด และมีผลให้สมองเข้มแข็งมากขึ้นได้
แล้วการเคี้ยวอาหารให้ละเอียดต้องทำอย่างไรบ้าง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรต้องเคี้ยวอาหารต่อการรับประทาน 1 คำ ให้ได้ประมาณ 30-50 ครั้ง ซึ่งหากสามารถทำได้ตามนี้ในทุกๆคำ คุณก็จะมีสุขภาพที่แข็งแรง ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ดี และมีสมองที่ทำงานได้อย่างเต็มที่แน่นอน
บางคนอาจจะมองว่าการจะเคี้ยวแต่ละคำให้ได้ถึง 30-50 ครั้ง น่าจะเป็นสิ่งที่ทำได้ยากเสียเหลือเกิน แต่ถ้าคุณพยายามเคี้ยวทีละคำอย่างช้าๆ และเมื่อตักอาหารเข้าปากแล้วให้ลองวางช้อนไว้ข้างจานขณะเคี้ยวอาหารทุกครั้ง ก็จะเป็นการชะลอการกินให้ช้าลงได้ นอกจากนี้ อาจใช้วิธีการใช้ช้อนคันเล็กๆหรือตักอาหารทีละน้อย ก็จะเป็นการช่วยให้คุณสามารถเคี้ยวอาหารในแต่ละคำได้ละเอียดมากขึ้นได้ อีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้การรับประทานอาหารช้าลงได้ ก็คือ การร่วมวงรับประทานอาหารไปพร้อมๆกับคนอื่น วิธีการนี้จะช่วยดึงคุณไม่ให้รีบทานอาหารมากจนเกินไป และช่วยให้คุณรับประทานอาหารเรียบร้อยมากขึ้นเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าคนอื่นๆ สุดท้าย พยายามหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารไปพร้อมๆกับการดูทีวี เพราะนั่นจะทำให้คุณมัวแต่จ้องแต่หน้าจอ จนเร่งทานอาหารมากเกินไปแบบไม่รู้ตัว

ลองปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารให้ช้าลง และเพิ่มความถี่ในการเคี้ยวข้าวแต่ละคำให้มากขึ้น โดยใช้เวลาในการรับประทานอาหารต่อจานสัก 20 นาทีดูบ้าง หากไม่รีบและเร่งจนเกินไป การค่อยๆเคี้ยวอาหารก็น่าจะเป็นวิธีที่ช่วยให้คุณได้มีเวลาลิ้มรสความอร่อยของอาหารจานโปรดได้มากขึ้น และยังช่วยให้คุณแข็งแรงปราศจากโรคภัยได้อีกด้วย