ใครๆก็คงอยากจะมีผิวหน้าที่สวยใสกันทุกๆคน แต่ก็ไม่ใช่ว่าความต้องการนี้จะสมหวังดังปรารถนาไปได้ในทุกครั้ง เพราะมลพิษในปัจจุบันช่างโหดร้ายและรุนแรงเกินกว่าที่ผิวหน้าจะทานทนโดยไม่มีครีมกันแดดป้องกันได้เลย และถึงแม้ว่าจะมีผลิตภัณฑ์เพื่อความงามปกป้องแล้ว ก็อาจจะยังไม่เพียงพอ จนทำให้เกิดเป็นปัญหาหน้าดำ ผิวคล้ำ เกิดสิว หรือริ้วรอย อันแสนน่ารังเกียจได้

ด้วยเหตุนี้เอง นวัตกรรมเพื่อความงามจึงถูกพัฒนาขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ก็เพื่อตอบสนองความต้องการ และคงความงามบนใบหน้าที่สาวๆทุกคนไม่อยากให้จากไปไหน ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในการฟื้นบำรุงผิวก็มีให้เลือกหลายแบบ ทั้งแบบที่สังเคราะห์ขึ้นมาจากวิธีทางเคมี หรือแบบที่สกัดมาจากขุมทรัพย์ทางธรรมชาติ ซึ่งหากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้มาจากวิธีทางธรรมชาติ ก็คงจะช่วยให้ผู้ใช้งานรู้สึกถึงความปลอดภัยที่มากกว่าได้อย่างแน่นอน
หนึ่งในสารสกัดจากธรรมชาติที่มีส่วนในการบำรุงผิวพรรณได้เป็นอย่างดีที่จะขอกล่าวถึงในที่นี้ก็คือ “AHA หรือ Alpha hydroxy acid” ชื่อนี้อาจจะฟังดูไม่คุ้นหูเสียเท่าไรนัก แต่ถ้าพิจารณาถึงที่มากันจริงๆแล้ว สารชนิดนี้ก็อยู่ไม่ไกลจากตัวเราเสียเท่าไร และสามารถใช้เพื่อบำรุงผิวได้อย่างปลอดภัยหากอยู่ภายใต้การใช้ด้วยวิธีที่ถูกต้อง
AHA หรือ Alpha hydroxy acid เป็นสารชนิดหนึ่งที่สกัดได้จากผลไม้และพืชผักหลายชนิดที่อยู่ตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น แอปเปิ้ล ลูกพีช อ้อย องุ่น มะขาม สตรอเบอร์รี่ แตงกวา แครอท หรือผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวอื่นๆ ซึ่งการได้มาจากธรรมชาติทำให้สารตัวนี้สามารถนำมาบำรุงหรือรักษาผิวพรรณได้แบบปลอดภัยมากกว่าสารเคมีอื่นๆ
AHA ที่นำมาใช้ในการบำรุงผิวยังสามารถแบ่งแยกย่อยได้อีกหลายชนิดและหลายความเข้มข้นตามแต่จุดประสงค์ในการใช้งาน โดยชนิดที่นิยมใช้กันมากเป็นพิเศษได้แก่ “กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid)” และ “กรดแลกติก (Lactic Acid)” โดยกรดไกลโคลิกจะเป็นตัวที่นิยมมากที่สุด เนื่องจากสารตัวนี้จะมีโมเลกุลที่มีขนาดเล็กมากที่สุดในบรรดาสาร AHA ทั้งหมด และขนาดของโมเลกุลที่เล็กเช่นนี้จะช่วยให้สารดังกล่าว สามารถซึมลงสู่ชั้นผิวหนังด้านในได้ง่ายและรวดเร็วมากกว่านั่นเอง
AHA มีประโยชน์ต่อการรักษาผิวพรรณหรือแก้โรคผิวหนังได้
สารตัวนี้ถูกนำมาใช้ในการช่วยลดริ้วรอย ลดสิว ลบความหมองคล้ำจากแสงแดด ลบจุดด่างดำบนผิวหนัง รักษารอยเหี่ยวย่นได้ หรือรักษาโรคผิวหนังต่างๆ เช่น โรคผิวแห้ง โรคผิวหนังแข็งนูนเป็นสะเก็ด เป็นต้น โดยหลักการทำงานของสารตัวนี้จะจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับสารเคมีที่ใช้สำหรับลอกผิว ที่นิยมใช้งานกันในหมู่แพทย์ผิวหนังและศัลยกรรมพลาสติก ดังนั้น การจะนำเอาสารดังกล่าวนี้มาใช้งาน จึงจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลการรักษาอย่างละเอียด เพื่อคุณประโยชน์ในการใช้งานที่สูงที่สุด

มาดูหลักการทำงานของสารตัวนี้กันบ้างดีกว่าว่าทำไมมันถึงสามารถลอกผิวของมนุษย์ได้ สาร AHA มีหน้าที่สำคัญในการทำลายแรงยึดเกาะระหว่างเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วบนชั้นของหนังกำพร้าให้หลุดออก และกระตุ้นให้ผิวหนังสร้างเซลล์ใหม่ๆที่แข็งแรงกว่าขึ้นมาแทนที่ในเวลาเดียวกัน ซึ่งการกระทำเช่นนี้ก็เปรียบเสมือนการผลัดเซลล์ผิวให้แลดูสดใสอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังช่วยควบคุมสมดุลความชุ่มชื้นของผิวหนังให้เป็นปกติ ทำให้ผิวของคุณดูยืดหยุ่นมากขึ้น นอกจากนี้ ยังลดสาเหตุการเกิดสิว ช่วยให้ผิวเรียบเนียน และดูอ่อนเยาว์
สำหรับใครที่มีปัญหารอยแผลเป็นที่ไม่ลึกมาก สาร AHA ก็ยังสามารถลบเลือนรอยแผลเป็นเหล่านี้ออกไปได้อีกด้วย
AHA ที่ใช้ผสมในเครื่องสำอางจะมีความเข้มข้นของกรดต่ำอยู่เพียงร้อยละ 4-6 เท่านั้น แต่หากเป็น AHA ที่ใช้ในทางการแพทย์เพื่อปรับสภาพผิว ลบริ้วรอยเหี่ยวย่น กลบรอยดำคล้ำ หรือปิดรอยแผลเป็นจากสิวจะใช้ที่ความเข้มข้นสูงประมาณร้อยละ 40-70 ซึ่งการใช้ AHA ที่ความเข้มข้นสูงขนาดนี้จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด การใช้สาร AHA ในการบำรุงหรือรักษาปัญหาบนผิวหน้าจะต้องล้างออกให้สะอาดหมดจด และประคบเย็นตามด้วยทุกครั้งจึงทำให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ การบำรุงผิวด้วย AHA จะต้องทำทุก 2-4 สัปดาห์ แบบต่อเนื่องกัน และทำซ้ำอีกทุกๆ 1-2 เดือน เพื่อคงสภาพผิวให้สดใสและนุ่มเนียนตลอดเวลา การหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะเปรียบเสมือนการเริ่มต้นสะสมเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้พอกพูนเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ดังนั้น หากคิดจะใช้สาร AHA เพื่อบำรุงผิว จึงควรใช้ให้ต่อเนื่องและใช้ไปตลอด
ดังนั้น ก่อนจะตัดสินใจใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสาร AHA จึงควรปรึกษาแพทย์และผู้เชี่ยวชาญทางด้านผิวหนังให้ละเอียดเสียก่อน ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยในการใช้งานของตัวคุณเอง อีกหนึ่งสิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจไว้ก่อนจะตัดสินใจสวยด้วยสาร AHA ก็คือ การลอกหน้าด้วยวิธีนี้อาจมีผลให้ผิวบางลงหรือมีความไวต่อแสงอาทิตย์มากขึ้น ดังนั้น จึงควรจะต้องมีการป้องกันผิวด้วยครีมกันแดด หรือพยายามหลีกเลี่ยงแสงแดด สารเคมี หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่รุนแรง ไปก่อนสักช่วงเวลาหนึ่งอย่างน้อยประมาณ 4-5 วัน ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยต่อผิวหน้าที่มากที่สุดนั่นเอง