ทุกวันนี้คุณดูแลผิวหน้าอย่างไร? การล้างด้วยน้ำเปล่าเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะช่วยให้คุณมีใบหน้าที่ขาวใสไร้สิว หรือหมดปัญหาเรื่องริ้วรอยด่างดำได้ ดังนั้น จึงมีผลิตภัณฑ์เพื่อความงามออกมามากมาย ทั้งนี้ก็เพื่อเพิ่มความสวยใสให้คุณมั่นใจได้มากขึ้นนั่นเอง
หนึ่งในวิธีที่จะช่วยให้คุณมีใบหน้าที่สวยได้ดั่งใจ ก็คือการ ”สครับผิวหน้า” ซึ่งการทำความสะอาดหน้าด้วยวิธีนี้จะช่วยผลัดชั้นผิวหนังที่ตาย หรือเกิดความหมองคล้ำเนื่องจากมลภาวะใกล้ตัวให้หลุดลอกออกไป แล้วเกิดเป็นผิวหนังชั้นใหม่ขึ้นมาแทนที่ ผิวหน้าจึงแลดูกระจ่างใส เกลี้ยงเกลา และขาวเนียนมากขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง

แต่ก็ไม่ใช่ว่าการสครับหน้าจะสามารถทำได้ทุกคนตลอดเวลา หรืออยากจะทำอย่างไรก็ทำได้ เพราะผิวหน้ายังเป็นสิ่งที่อ่อนแอและบอบบางเป็นอย่างมาก การสครับหน้าจึงเปรียบเสมือนดาบสองคม ซึ่งหากทำได้ดีก็ย่อมมีประโยชน์ ในทางตรงกันข้าม การทำแบบผิดวิธีก็ย่อมทำให้ผิวหน้าถูกทำลายไปได้เช่นกัน ดังนั้น การทราบถึงวิธีการสครับหน้าที่ถูกต้องจึงไม่ใช่สิ่งไกลตัว ว่าแล้วเราก็ไปเรียนรู้วิธีการสครับหน้าเพื่อเพิ่มความมีออร่าให้แก่ใบหน้าของคุณกันเลยดีกว่าค่ะ
ประเภทของผลิตภัณฑ์สครับหน้าสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ การสครับด้วยผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากธรรมชาติ และการสครับที่ผลิตจากผลิตภัณฑ์ที่ผ่านกระบวนการทางเคมี ซึ่งสครับทั้งสองประเภท สามารถนำมาใช้ในการทำความสะอาดใบหน้าได้เหมือนกัน แต่ข้อดีและข้อเสียที่คุณจะได้รับย่อมมีความแตกต่างกันอย่างแน่นอน
มาเริ่มต้นที่ผลิตภัณฑ์สครับที่ผลิตจากกระบวนการทางเคมีกันก่อน เม็ดสครับประเภทนี้ มักจะมีหน้าที่ในการขัดผิวเพื่อทำให้ชั้นผิวหนังที่ตายแล้วหลุดออกไป โดยส่วนใหญ่เม็ดสครับจะทำจากเม็ดพลาสติกหรือพลาสติกเคลือบ (Micro bead) สำหรับบางผลิตภัณฑ์เม็ดสครับอาจจะเป็นเพียงเม็ดพลาสติกธรรมดา แต่ในบางผลิตภัณฑ์อาจจะมีการชุบสารสกัดจากธรรมชาติ เช่น Jojoba Bead เป็นต้น เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการบำรุงผิวหน้าให้ดีมากยิ่งขึ้น โดยมากเม็ดสครับจะมีลักษณะเป็นเม็ดทรงกลมที่มีขนาดเท่ากันในทุกเม็ด ขนาดอนุภาคของเม็ดสครับสามารถแบ่งความหยาบและละเอียดออกเป็นหลายส่วนย่อยๆตามแต่ที่ผู้ใช้ต้องการ และเนื่องจากเม็ดสครับประเภทนี้ผลิตจากกระบวนการทางเคมี จึงทำให้มีโอกาสที่จะเกิดความระคายเคืองต่อผิวได้มากกว่าสครับที่ผลิตจากธรรมชาติ
ส่วนสครับที่ผลิตจากธรรมชาติ โดยมากจะมีเนื้อเม็ดที่ทำขึ้นจากพืชหรือผลไม้ ลักษณะของเม็ดจะค่อนข้างหยาบ มีขนาดและรูปร่างที่ไม่แน่นอน ซึ่งความแตกต่างทางรูปทรงของเม็ดสครับนี้ มีผลทำให้ประสิทธิภาพในการขัดสิ่งสกปรกออกจากผิวทำได้ดีมากกว่า ที่สำคัญยังทำให้เกิดความระคายเคืองต่อผิวที่น้อยกว่าสครับที่ผลิตขึ้นจากกระบวนการทางเคมีอีกด้วย

เพิ่มออร่าด้วยการสครับหน้า
หลังจากที่ทราบชนิดของผลิตภัณฑ์สครับหน้ากันไปแล้ว ก็มาดูกันต่อว่าสภาพผิวของคุณนั้นเหมาะที่จะสครับหน้าแบบใด เพราะความแตกต่างของผิวหน้าย่อมมีผลให้รูปแบบการทำความสะอาดแตกต่างกันออกไปด้วย
ใครที่รู้ตัวว่าเป็นคนที่แพ้ง่ายไม่ควรทำการสครับหน้าบ่อยๆทุกวัน และควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีฤทธิ์อ่อนเพื่อป้องกันผิวหน้าถูกทำลาย หรือถ้าจะให้ดีก็ควรทดสอบอาการแพ้ของผลิตภัณฑ์นั้นๆกับส่วนอื่นๆของร่างกายเสียก่อน เพื่อลดความเสี่ยงของการที่ผิวหน้าจะถูกทำร้าย แต่สำหรับคนที่มีผิวมันมากๆ สามารถทำการสครับหน้าได้ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่ยิ่งเรามีการขัดถูใบหน้ามากเท่าไร ก็จะยิ่งทำให้เกิดรูขุมขนกว้างมากยิ่งขึ้นเท่านั้น และนั่นก็อาจจะทำให้ใบหน้ามีความมันมากยิ่งขึ้นได้ด้วย ดังนั้นหากคนผิวมันท่านใดต้องการทำสครับใบหน้า ก็ควรพยายามหลีกเลี่ยงการขัดถูในบริเวณที่มีรูขุมขนกว้าง เพื่อจะป้องกันไม่ให้ใบหน้ามันมากขึ้นไปอีก ตรงกันข้ามกับคนผิวแห้งที่ไม่ควรทำสครับใบหน้าบ่อย เพราะยิ่งทำบ่อยครั้ง ก็จะยิ่งทำให้ผิวแห้งมากขึ้นไปอีก ส่วนคนที่กำลังเป็นสิวก็ควรหยุดการทำสครับใบหน้าไปก่อน เพราะการทำสครับในขณะที่เม็ดสิวกำลังเต่ง จะมีผลทำให้ให้สิวเกิดการอักเสบขึ้นได้ แถมยังทำให้เกิดการระคายเคืองได้ง่ายด้วย
การทำสครับหน้าด้วยความถี่ที่เหมาะสมประมาณ 1-2 ครั้ง ต่อสัปดาห์ ถือเป็นปริมาณที่พอเหมาะพอดีสำหรับคนทั่วๆไป แต่หากคุณมีปัญหาผิวหน้าตามที่กล่าวมาข้างต้น ก็อาจจะต้องไปปรับความถี่ให้เหมาะกับตัวของคุณอีกครั้ง อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญ ก็คือการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับสครับใบหน้าที่มีความเฉพาะเจาะจง ห้ามเด็ดขาดสำหรับกับการนำเอาผลิตภัณฑ์ขัดผิวกายมาใช้ในการขัดผิวหน้า เนื่องจากผลิตภัณฑ์ขัดผิวกายจะลักษณะเม็ดขรุขระมากกว่า และอาจทำให้ผิวหน้าได้รับความเสียหายมากเกินไปได้ ส่วนสุดท้าย ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์สครับผิวหน้าทันทีที่รู้สึกเจ็บหรือแสบผิว เพราะนั่นเป็นสัญญาณเบื้องต้นที่บ่งบอกว่าหน้าของคุณกำลังจะถูกทำลายในอีกไม่ช้า
แม้ว่าการสครับผิวจะเป็นวิธีง่ายๆที่ช่วยทำให้ผิวของคุณดูกระจ่างใสมากขึ้น แต่หากขาดการดูแลเอาใจใส่ด้วยวิธีที่ถูกต้องก็ย่อมทำให้เกิดอันตรายต่อผิวหน้าของคุณได้เช่นกัน