ธูป เป็นอุปกรณ์ที่มีบทบาทสำคัญในการประกอบพิธีกรรมทางพุทธศาสนา เนื่องจากเป็นหนึ่งในเครื่องสักการะสำหรับใช้บูชาพระรัตนตรัย อีกทั้งยังใช้สำหรับบูชาเทพเจ้าหรือสิ่งศักดิ์อื่นๆตามความเชื่อของแต่ละบุคคล
ธูปที่ใช้กันโดยทั่วไปมักเป็นธูปที่มีกลิ่นหอม ซึ่งเชื่อกันว่า กลิ่นหอมของธูปจะช่วยคลายกิเลส และทำให้ผู้จุดมีจิตใจที่สงบ แต่ทราบหรือไม่คะว่า ควันและกลิ่นหอมของธูปที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้นำมาซึ่งอันตรายอันร้ายแรงที่ค่อยๆทำร้ายสุขภาพคุณอย่างช้าๆ
ภาพจาก : http://titishoppingonline.blogspot.com/2011/11/2553-1.html
ข้อมูลจากศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี บ่งชี้ว่า การสูดดมควันธูปหนึ่งดอกเทียบเท่าได้กับการสูบบุหรี่หนึ่งม้วน เนื่องมาจากในควันธูปมีสารที่มีอันตรายร้ายแรงอย่าง ?สารนิโคติน? เหมือนกับที่พบได้ในบุหรี่
ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขชี้ให้เห็นว่า การผลิตธูปในอดีตจะใช้วัตถุดิบจากไม้เนื้อหอม ซึ่งเมื่อถูกเผาแล้วจะไม่เกิดอาการระคายเคืองของเนื้อเยื่อตาและจมูก แต่ปัจจุบัน ไม้เนื้อหอมมีแนวโน้มหายากและมีราคาแพงมากขึ้น ไม้เนื้อหอมบางชนิดก็จัดเป็นพืชคุ้มครอง ทำให้ยากต่อการนำเอามาผลิตเป็นธูป ผู้ผลิตธูปในปัจจุบัน จึงเปลี่ยนมาใช้วัตถุดิบที่เป็นขี้เลื่อยผสมกับกาวกั๊วก่าและใช้กลิ่นหอมที่สกัดจากธรรมชาติหรือสารเคมีทดแทนวัตถุดิบไม้เนื้อหอมที่นับวันยิ่งน้อยลงทุกทีๆ
การจุดธูปจะทำให้เกิดการเผาไหม้ของขี้เลื่อย กาว และน้ำหอมที่เป็นองค์ประกอบหลักภายในธูป สารต่าง ๆ คล้ายกับที่พบในควันบุหรี่เหล่านี้จะถูกปล่อยออกมาเมื่อถูกจุดไฟ เช่น ฝุ่นละอองขนาดเล็ก ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ก๊าซมีเทน ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ หรือสารก่อมะเร็ง เป็นต้น
ตัวการสำคัญที่คนส่วนใหญ่เกรงกลัวก็คือ สารก่อมะเร็ง ซึ่งสารนี้จะนำพาโรคร้ายและอาจคร่าชีวิตของคุณได้ ซึ่งสารก่อมะเร็งที่พบภายในธูปประกอบไปด้วยสารหลายชนิด ดังต่อไปนี้
สารตัวแรกที่พบ ก็คือ สารเบนโซเอไพรีน สารชนิดนี้มีประสิทธิภาพในการก่อมะเร็งสูงที่สุด โดยหากร่างกายได้รับสารนี้เข้าไปในปริมาณมากเพียงพออย่างต่อเนื่อง อาจทำให้เกิดโรคมะเร็งปอด มะเร็งผิวหนัง และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้ นอกจากนี้ยังมีสารตัวอื่นๆอีก เช่น สารเบนซีน ที่อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว สารบิวทาไดอีน เป็นสารที่มีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็งระบบเลือด เป็นต้น
ภาพจาก : http://horoscope.sanook.com/951564
จากการทดลอง พบว่า เมื่อเปรียบเทียบระหว่างสถานที่ที่มีการจุดธูปอย่างต่อเนื่องกับสถานที่โดยปกติทั่วไปที่ไม่มีการจุดธูป จะพบว่า สถานที่ที่มีการจุดธูปจะมีปริมาณสารเบนโซเอไพรีนสูงกว่าสถานที่ที่ไม่จุดธูปถึง 63 เท่า และเมื่อตรวจร่างกายของคนที่ทำงานอยู่ในสถานที่ดังกล่าว ยังพบด้วยว่า คนเหล่านี้มีสารก่อมะเร็งอยู่ในเลือดและปัสสาวะสูงกว่าคนที่ปกติถึง 4 เท่า แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่พบหลักฐานที่ชี้ชัดว่า มีผู้ป่วยมะเร็งที่มีสาเหตุหลักสำคัญมาจากการสูดดมควันธูป เพียงแต่พบหลักฐานว่าควันธูปมีส่วนเพิ่มปริมาณสารก่อมะเร็งในร่างกายมนุษย์เพียงเท่านั้น
แม้ว่าอันตรายในด้านการเกิดมะเร็งจะยังไม่แน่ชัดนัก แต่การสูดดมควันธูปก็ยังส่งผลกระทบในด้านอื่นๆด้วย ไม่ว่าจะเป็น ผลต่อระบบทางเดินหายใจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือมีอาการแสบจมูก หรือ ผลต่อสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เกิดโลกร้อน เป็นต้น
อย่างไรก็ดี จากการสำรวจสถิติการเกิดโรคมะเร็งปอดโดยกรมควบคุมโรค พบว่า ?ผู้หญิงที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งปอดร้อยละ 50 ไม่ได้มีพฤติกรรมการสูบบุหรี่ ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับผู้สูบบุหรี่ และไม่มีการได้รับสารมะเร็งจากการทำงานด้วย? ดังนั้น แพทย์จึงสันนิษฐานว่า สาเหตุการเกิดมะเร็งปอดอาจไม่ได้มาจากการสูบบุหรี่เพียงอย่างเดียว อาจมาจากสาเหตุอื่นๆ ซึ่งควันธูปก็น่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่สำคัญของการเกิดโรคมะเร็งได้เช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีจากการวิจัยเพื่อสังเกตพฤติกรรมชาวจีนที่อาศัยในประเทศสิงคโปร์ จำนวนกว่า 61,000 คน พบว่า ผู้ที่มีการใช้ธูปทั้งวันทั้งคืนมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกว่าร้อยละ 80 เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ใช้ธูปเลย
เมื่อทราบอย่างนี้แล้ว ก็อย่าเพิ่งตกอกตกใจไป เพราะการที่เราสูบดมควันธูปจากการไหว้เจ้าหรือการไหว้พระขอพรเพียงไม่กี่นาทีไม่ได้ก่อให้เกิดความเสี่ยงสำคัญที่จะทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ แต่หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ในสถานที่เสี่ยง ที่มีโอกาสในการสูดดมควันธูปอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานหลายสิบปี ก็อาจเกิดความเสี่ยงในการสะสมสารก่อมะเร็งซึ่งมีผลเทียบเคียงได้เท่ากับการสูบบุหรี่ได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม หากจำเป็นจะต้องเข้าสู่สถานที่ที่มีโอกาสเสี่ยงในการสูดดมควันธูป มีวิธีเบื้องต้นในการป้องกันตัวเองได้โดยอาจหาผ้าเช็ดหน้ามาปิดปากและจมูก พยายามหลีกเลี่ยงการอยู่ในห้องที่จุดธูปแต่ไม่มีอากาศถ่ายเทเป็นระยะเวลานาน และหลังการสัมผัสธูปหรือควันธูปควรล้างมือ ล้างหน้า และล้างตาให้สะอาดเพื่อป้องกันการระหายเคืองที่ผิวหนัง
การพยายามหลีกเลี่ยงสภาวะเสี่ยงหรือการพยายามป้องกันตัวเองให้ได้มากที่สุด จะช่วยให้ลดโอกาสในการเกิดโรคมะเร็งร้ายได้ และแม้ว่าผลวิจัยจะยังไม่ชี้ชัดว่าการสูดดมควันธูปจะนำพาเราไปสู่โรคร้ายได้จริงหรือไม่ แต่ถึงอย่างไร ?กันไว้ก็ดีกว่าแก้? แน่นอนอยู่แล้ว