อากาศเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว ทำให้คนเป็นหวัดกันเยอะขึ้น และเมื่อคนเป็นหวัดไม่รู้จักการป้องกันตัวเอง ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรคมากขึ้นไปอีก แต่หลายคนอาจจะคาดไม่ถึงว่า การจามของคนเพียงคนเดียวสามารถแพร่เชื้อโรคให้กับคนข้างๆให้ป่วยเหมือนเราได้มากขนาดนี้เชียวหรือ ลองมาศึกษาข้อมูลที่ว่านี้ไปพร้อมกันเลยค่ะ

    ดร. รอเจอร์ เฮนเดอร์สัน เจ้าของคอลัมน์ความรู้เรื่องการแพทย์จากหนังสือพิมพ์ซันเดย์ไทมส์ ได้ทำการศึกษาการแพร่เชื้อโรคโดยการจามและพบว่า เพียงแค่คน 1 คนจามเพียง 1 ครั้งในรถเมล์ รถไฟฟ้า หรือรถไฟใต้ดิน จะมีผลทำให้ผู้โดยสารกว่า 150 คนที่อยู่บริเวณโดยรอบมีความเสี่ยงในการเป็นหวัดได้ภายในเวลาเพียง 5 นาทีเท่านั้น ยกเว้นว่าบุคคลคนนั้นจะใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากหรือสวมหน้ากากอนามัย

    ทั้งนี้เป็นเหตุผลเนื่องมาจาก เชื้อโรคที่ลอยออกมาจากการจามแต่ละครั้ง จะลอยเข้าไปในทางเดินหายใจของคนโดยรอบ หรือไม่ก็อาจลอยไปติดตามราว เสา ที่นั่ง และพื้นผิวอื่นๆ ซึ่งเมื่อมีคนมาจับเสา ที่นั่ง หรือบริเวณเหล่านั้น ก็จะทำให้เกิดการแพร่เชื้อหวัดได้ง่าย ซึ่งดร. รอเจอร์ เฮนเดอร์สัน กล่าวว่า การจาม 1 ครั้งจะพ่นละอองออกมาได้ถึง 100,000 ละออง ด้วยความเร็วประมาณ 90 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือ 145 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

    จากการศึกษาเพิ่มเติมพบว่า ผู้ที่ทำงานอยู่ที่บ้านมีโอกาสเป็นหวัดเพียงแค่ 58% ส่วนผู้ที่ออกไปข้างนอกเกือบทุกวันและเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินจะเป็นหวัดมากถึง 99% เดินทางด้วยรถเมล์เป็นหวัดมากถึง 98% เดินทางด้วยรถไฟเป็นหวัดมากถึง 96% ในขณะที่ ผู้ที่เดินไปทำงานจะเป็นหวัด 88%

    การสำรวจยังพบว่า ผู้โดยสาร 20% ไม่ชอบใจเมื่อมีผู้จามโดยไม่มีผ้าเช็ดหน้าหรือผ้าปิดปาก, 33% ไม่ชอบใจเมื่อมีผู้จามไม่ใช้มือป้องปาก และส่วนใหญ่ผู้ชายจะไม่นิยมใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือมือในการป้องปากขณะจาม

    จะเห็นได้ว่าเชื้อโรคสามารถแพร่ถึงกันได้ง่ายมาก หากคุณเป็นคนมักง่าย และไม่ใส่ใจในความสะอาดหรือความปลอดภัยของคนรอบข้าง โอกาสที่เชื้อหวัดจะแพร่กระจายอย่างรวดเร็วก็เป็นไปได้สูง

    ทั้งนี้หลายคนอาจมีคำถามว่าแล้วควรทำอย่างไรให้ปลอดภัยต่อการแพร่เชื้อโรค ถ้าพยายาม “กลั้นจาม” จะดีกว่าหรือไม่ เรื่องนี้มีคำตอบค่ะ

    การกลั้นจาม ไม่ว่าจะเป็นการบีบจมูกไว้ตอนจามหรือฝืนจามออกมาให้เบาลง ย่อมทำให้การปลดปล่อยลมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่ควรจะเป็น จากที่ลมต้องออกมาทางปากหรือจมูกอย่างเต็มที่ กลับเปลี่ยนไปออกที่หูหรือกระทบต่ออวัยวะส่วนอื่นๆแทน ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้เกิดอันตรายต่ออวัยวะภายในของร่างกายเป็นอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น

    1. การกลั้นจามมีผลทำให้เส้นเลือดในช่วงลำคอและสมองอ่อนแอหรือแตกได้ เนื่องจากโดนแรงดันในระดับสูงแบบชั่วขณะ ซึ่งอาจส่งผลต่อสมองโดยตรง หรืออาจทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

    2. การกลั้นจามทำให้ลมเปลี่ยนทิศไปออกที่หูแทน ซึ่งหากเป็นการจามที่รุนแรงอาจทำให้เยื่อหุ้มชั้นในใบหูฉีกขาดหรือแก้วหูฉีกขาดได้ หากเป็นมากไปกว่านั้นก็อาจทำให้สูงเสียการได้ยินได้เลย

    3. นอกเหนือจากหูที่ได้รับผลกระทบอย่างสูงแล้ว ตาก็เป็นอีกอวัยวะที่ได้รับผลจากการกลั้นจามไม่น้อยเลย เพราะการกลั้นจามอาจทำให้หลอดเลือดในตาขาวแตก ก่อให้เกิดอาการช้ำ หรือมีผลต่อการมองเห็นได้ ยิ่งถ้าเกิดขึ้นในกลุ่มคนสูงอายุแล้ว อาจก่อให้เกิดอาการจอประสาทตาหลุดลอกได้

    จากที่กล่าวไปข้างต้นจะเห็นได้ว่าการกลั้นจามไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลย เพราะเรากำลังต่อต้านระบบการทำงานอัตโนมัติของร่างกายอยู่ และยิ่งถ้าฝืนไปเรื่อยๆ เราก็จะติดเป็นนิสัยและทำร้ายร่างกายสะสมไปเรื่อยๆ จนทำให้ได้รับอันตรายจากการกระทำของตนเอง

    ดังนั้น การกลั้นจามจึงไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้อง จงปล่อยให้การจามออกมาอย่างเต็มที่แต่ต้องไม่ลืมที่จะใช้ผ้าเช็ดผ้าหรือกระดาษทิชชูปิดปากเอาไว้ขณะจาม เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค แต่ถ้าหาไม่ทันเราขอแนะนำแขนเสื้อของเรานี่แหละเหมาะสมมากที่สุด แม้ว่าอาจจะทำให้เสื้อของเราสกปรกแต่ก็ยังดีกว่าการแพร่เชื้อโรคออกไปให้กับบุคคลอื่นๆที่ไม่มีใครต้องการสักคน

    และสิ่งที่ควรทำต่อจากการจามทุกครั้ง ก็คือ การล้างมือให้สะอาด รวมถึงซักเสื้อผ้าหรือผ้าเช็ดหน้าให้สะอาดปราศจากเชื้อโรคด้วย หรือถ้าจะให้ดีไปกว่านั้น ใครที่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังเป็นหวัดหรือจามบ่อยๆในช่วงนี้ ก็ควรหาหน้ากากอนามัยมาสวมใส่เอาไว้ตลอดเวลาและอยู่ให้ห่างไกลจากผู้คน เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโรคนั่นเอง

    แค่การหยุดแพร่เชื้อโดยการใช้ผ้าปิดปาก สวมหน้ากากอนามัย และใช้ผ้าเช็ดหน้าป้องปากขณะจาม ก็ช่วยหยุดการแพร่ขยายเชื้อหวัดได้มากแล้วละค่ะ ควรทำสิ่งเหล่านี้ให้ติดเป็นนิสัยและรณรงค์การรักษาความสะอาดเช่นนี้เอาไว้ เพื่อที่โรคหวัดจะได้ไม่เป็นโรคที่ง่ายต่อการติดต่อ

    …เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณและคนรอบข้างนะคะ…