ผู้หญิงหลายคนมีความกังวลกับขนหรือหนวดที่ขึ้นอยู่บนร่างกายของตัวเองเป็นอย่างมาก เพราะในเมื่อเธอนั้นเป็นเพศหญิง ก็ไม่ควรเลยที่จะมีเส้นขนขึ้นมากขนาดนี้ และจะทำให้ดูคล้ายกะเทยเสียมากกว่า
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เกิดขึ้นจากความผิดปกติของฮอร์โมน เพราะคุณมีฮอร์โมนความเป็นชายในตัวเองมากเกินไป ซึ่งส่วนใหญ่จะแสดงออกมาในลักษณะ ดังต่อไปนี้ ได้แก่ ผิวค่อนข้างหยาบ ขนดก และเป็นสิวมากกว่าผู้หญิงทั่ว ๆ ไป
วิธีแก้ที่ตรงประเด็นที่สุด จึงเป็นการแก้ที่ตัวฮอร์โมน โดยต้องลดฮอร์เพศเพศขายลง หรือเพิ่มฮอร์เพศหญิงเข้าไปในตัว เพื่อที่จะดึงเอาความเป็นเพศหญิงออกมาให้เด่นชัดกว่าเพศชาย ซึ่งหลายคนเลือกที่จะทำโดยการ “ทานยาฮอร์โมนเพศ“
วิธีนี้มีความปลอดภัยมากน้อยแค่ไหนกัน เพราะการที่เราจะเติมหรือจะลดฮอร์โมนในร่างกายนั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย
ตามมาหาคำตอบสุขภาพที่นี่กันได้เลยค่ะ

คุณหมอชัญวลี ศรีสุโข หรือคุณหมอหวิว สูตินรีแพทย์ผูเชี่ยวชาญกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า….อาการที่ผู้หญิงมีความผิดปกติเช่นนี้ ถือเป็นความผิดปกติทางพันธุกรรมในรูปความผิดปกติของฮอร์โมนเพศ ซึ่งเกิดขึ้นมาตั้งแต่กำเนิด
ผู้ป่วยที่เป็นเช่นนี้จะมีลักษณะเด่นคือ
- ผิวหน้ามัน เป็นสิวได้ง่าย
- ผิวค่อนข้างหยาบ ผิวหน้ามีรูขุมขนกว้าง
- ผมบางหรือหัวล้าน
- ขนดก มีหนวด มีเครา มากกว่าผู้หญิงทั่ว ๆไป
และเมื่อร่างกายของเรามีฮอร์โมนเพศชายสูง ก็ควรจะต้องแก้ด้วยการเสริมฮอร์โมนเพศหญิงเข้าไป แต่การเสริมฮอร์โมนเพศหญิงเข้าไปในคนที่มีฮอร์โมนเพศชายสูง อาจจะไม่ถูกต้องเสียทั้งหมด และอาจทำให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคได้ เหตุผลเพราะอะไรตามมาดูกัน
เหตุผลที่การเสริมฮอร์โมนเพศหญิงเข้าไปไม่เป็นเรื่องดี ก็เพราะผู้หญิงที่มีฮอร์โมนเพศชายสูงผิดปกติ มักจะมีฮอร์โมนเพศหญิงชนิดเอสโตรเจนสูงด้วย อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงจำพวกนี้จะขาดแต่ฮอร์โมนเพศหญิงชนิดโปรเจสเตอโรน ซึ่งมีผลทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ ประจำเดือนขาด หรือประจำเดือนน้อย การเร่งเสริมฮอร์โมนเพศหญิงเข้าไปเลยในทันทีจึงไม่ใช่เรื่องดีนัก
แล้วจะต้องทำอย่างไรละ? แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเผยว่า….วิธีแก้ไขที่ถูกต้องที่สุด คือ ต้องพยายามหาสาเหตุความผิดปกติที่แท้จริงให้ได้ก่อน
ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเหล่านี้ได้มีหลายประการ เช่น
สาเหตุเพราะมีถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (Polycystic ovarian syndrome : PCOS)
หากคุณเกิดอาการดังกล่าวเนื่องจากมีถุงน้ำในรังไข่หลายใบ จะมีผลทำให้มีเนื้องอกที่ต่อมหมวกไต มีต่อมหมวกไตหนา(Adrenal hyperplasia ) หรือมีเนื้องอกที่รังไข่ เป็นต้น
ซึ่งอาการที่ว่านี้พบได้มากในผู้หญิงที่อยู่ในวัยเจริญพันธ์ หรือมีอายุอยู่ในช่วงระหว่าง 20-40 ปี สาเหตุการเกิดของมันไม่แน่นอน แต่แพทย์เชื่อว่า…น่าจะมาจากการถ่ายทอดมาทางพันธุกรรม สิ่งแวดล้อมที่พบเจอ รวมไปถึงภาวะอ้วนก็ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความผิดปกตินี้ได้
อาการที่มักพบเห็นในผู้ป่วยโรคนี้เป็นอย่างไร?
คนที่มีฮอร์โมนผิดปกติ มักจะมีอาการสำคัญหลายประการทั้งที่แสดงออกภายนอกและเป็นความผิดปกติภายใน เช่น การผิวหน้ามัน การมีสิว การมีขนดกบริเวณใบหน้า การมีประจำเดือนผิดปกติ การมีลูกยาก หรือการมีความผิดปกติของเมตาบอลิก
นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคมะเร็งเต้านม โรคภาวะตกเลือดจากเยื่อบุโพรงมดลูกหนา และโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกมากกว่าคนปกติอีกด้วย ทั้งนี้เนื่องจากการที่ร่างกายมีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงนั่นเอง

วิธีการรักษาที่ดีที่สุด คืออะไร?
ต้องยอมรับว่า ‘ยา’ เพียงอย่างเดียวไม่สามารถรักษาอาการที่เป็นอยู่นี้ได้อย่างได้ผลและยาวนาน ดังนั้น หากคุณต้องการหายจากโรคนี้ จึงต้องพยายามปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของตัวเองตามไปด้วย เช่น พยายามลดน้ำหนัก ลดอาหารไขมันสูง ออกกำลังกายเป็นประจำ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด เป็นต้น
เมื่อปรับตัวเองได้แล้ว ก็อย่าลืมรับประทานยาเสริมเข้าไป โดยอาจใช้เป็นยาลดฮอร์โมนเพศชาย การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด หรือยาฮอร์โมนเพศหญิงประเภท ‘โปรเจสเตอโรน‘ หากคุณไม่ทำตามนี้ แล้วหลงผิดไปใช้วิธีการเสริมฮอร์โมนเพศหญิงประเภท ‘เอสโตรเจน‘ ก็จะทำให้เกิดผลเสียหรือความเสี่ยงมากมายตามมา เช่น เสี่ยงต่อการตกเลือด เสี่ยงต่อมะเร็ง เสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด เสี่ยงต่อโรคเบาหวาน และเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น
จะเห็นว่าการแก้ไขปัญหานี้ไม่ได้เป็นเรื่องยาก เพียงแต่เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยการปรับตัว และเข้าใจถึงสภาวะที่ตัวเองกำลังเผชิญหน้า ยิ่งเรารับรู้และเข้าใจตัวเองมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งสามารถแก้ไขปัญหาที่เป็นอยู่ได้มากขึ้นเท่านั้น
ดังนั้น หากคุณเองนั้นรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังมีบางอย่างที่ไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ มีลักษณะบางอย่างที่เหมือนชาย ก็ให้สงสัยว่าคุณนั้นอาจจะมีฮอร์เพศชายมากเกินไป พอรู้แล้วอย่ารีบไปซื้อยาเพิ่มฮอร์โมนเพศหญิงมาทานมั่วๆเด็ดขาดนะคะ เพราะมันอันตรายมากๆ และการทานยาอาจรักษาได้ไม่ตรงจุดด้วย
เข้าไปหาแพทย์ ปรึกษาแพทย์กันตั้งแต่เนิ่นๆเถอะค่ะ อาการผิดปกติของคุณจะได้ไม่เพิ่มมากขึ้นไปกว่าเก่า และไม่ก่อเกิดโรคมะเร็งได้