การเฉลิมฉลองใกล้เข้ามาทุกที และถ้าจะให้ดีหลายคนก็ต้องมีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยที่ไม่ได้มีความเป็นกังวลกับอวัยวะภายในมากเท่าไหร่นัก ซึ่งหารู้ไม่ว่า…การดื่มเครื่องดื่มมึนเมาชนิดนี้ถือเป็นหนึ่งในวิธีการทำลายตับอย่างต่อเนื่อง
เนื่องจากตับเป็นอวัยวะที่ช่วยทำลายสารพิษหรือของเสียออกจากเลือด อีกทั้งยังมีหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต่อต้านเชื้อโรค สร้างสารที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว สร้างน้ำดีเพื่อย่อยอาหาร และดูดซึมวิตามินที่ละลายในน้ำมัน หากเมื่อใดที่ตับถูกทำลายลง ก็ย่อมทำให้ร่างกายขาดประสิทธิภาพทั้งในด้านการทำลายสารพิษ การสร้างภูมิคุ้มกันร่างกาย การห้ามเลือด การย่อยอาหาร รวมถึงการดูดซึมสารอาหารที่มีประโยชน์
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้มีผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคตับมากขึ้นทุกวันๆ และพาให้อวัยวะอื่นๆเสื่อมลงตามไปด้วย แต่ก่อนที่ร่างกายจะพังยังพอมีสัญญาณอันตรายบางอย่างที่ฟ้องให้คุณ ‘หยุด’ อะไรบ้างที่คุณควรรู้ มาเริ่มต้นสังเกตกันตอนนี้ได้เลยค่ะ

วิธีการสังเกตตัวเองว่าดื่มหนักมากเกินไปหรือไม่
ต้องดูว่าพฤติกรรมที่เคยเป็นอยู่เปลี่ยนไปจากเดิมมากน้อยเพียงใด หากคุณมีพฤติกรรมเหล่านี้ ต้องลดละ เลิก การดื่มแอลกอฮอล์บ้างแล้วละ
- อ่อนเพลียง่าย เหนื่อยง่าย ทำอะไรนิดหน่อยก็เหนื่อยแล้ว
- เบื่ออาหาร ทานอะไรไม่ค่อยลง แม้ว่าเป็นของที่ปกติชอบทานก็ตาม
- คลื่นไส้บ่อยๆ โดยไม่มีสาเหตุ
- น้ำหนักลด ทั้งๆที่ไม่ได้อยู่ในระหว่างการลดน้ำหนักหรือไม่ได้ออกกำลังกาย
- เท้าบวม ท้องบวม
- เลือดออกง่าย แต่เลือดหยุดยาก ทั้งนี้เนื่องจากตับไม่สามารถทำให้เลือดแข็งตัวได้เหมือนเดิมอีกต่อไป
- เกิดอาการคล้ายเป็นโรคนิ่วในถึงน้ำดี
- ตัวเหลือง ตาเหลือง
- อาเจียนเป็นเลือด เนื่องจากร่างกายมีความดันในตับสูง ส่งผลให้หลอดเลือดดำในหลอดอาหารมีความดันสูง และหากสูงมากจนหลอดเลือดดำแตก ก็อาจทำให้อาเจียนออกมาเป็นเลือดได้
- ริดสีดวงทวารในบางกรณี
10 สัญญาณนี้อาจจะเกิดขึ้นกับคุณไม่ครบ แต่หากคุณเริ่มมีสัญญาณเตือนภัยเหล่านี้ โดยเฉพาะอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด และเท้าบวม ท้องบวม ถือเป็นอาการหลักที่พบเจอมากที่สุดในคนที่ดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนัก หากเป็นเมื่อไหร่คุณต้องคิดถึงตับเอาไว้สักนิด และควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน เพื่อตรวจวัดหาประสิทธิภาพการทำงานของตับโดยวิธีทางการแพทย์ เพื่อตรวจสอบดูว่า ตับยังทำงานได้ดีเหมือนเดิมอยู่หรือไม่
แต่ว่าไปแล้ว การจะโทษว่าเครื่องดื่มแอลกอฮล์เป็นตัวทำลายตับเพียงอย่างเดียวก็ไม่ถูกต้องเท่าไหร่นัก เพราะโรคตับแข็งอาจไม่ได้เกิดขึ้นแค่เฉพาะการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปเท่านั้น แต่ยังอาจเกิดขึ้นได้จากสาเหตุสำคัญ คือ โรคไวรัสตับอักเสบ ด้วย
ดังนั้น แม้ว่าคุณจะไม่ใช่คอแอลกอฮอล์ แต่บังเอิญมีเชื้อไวรัสที่ว่านี้อยู่ในตัว คุณก็อาจจะเกิดอาการเหล่านี้ได้เช่นกัน และอาจจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คุณลืมที่จะดูแลตัวเองด้วย เพราะคิดว่ามีเพียงแค่แอลกอฮอล์เท่านั้นที่ทำลายตับ จึงสำคัญมากที่คุณควรไปตรวจเลือดดูว่าคุณกำลังเสี่ยงต่อการเป็นไวรัสชนิดนี้ด้วยหรือไม่

หากใครที่ไปตรวจร่างกายดูแล้วพบว่าตัวเองเริ่มมีความเสี่ยง และยังไม่อยากเสียชีวิตด้วยโรคตับแข็งตั้งแต่ยังหนุ่มยังสาว ต้องหาวิธีการในการป้องกันโรค เพื่อทำให้ตัวเองสามารถลดความเสี่ยงให้น้อยลงให้ได้ ด้วยวิธีการต่อไปนี้ค่ะ
1. ทานยาแต่พอเหมาะ
บางคนปวดหัวปวดตัวนิดๆหน่อยๆก็ทานยาเพื่อบรรเทาอาการ แต่ทราบหรือไม่ว่า..ยาทุกเม็ดที่เราทานเข้าไปจะต้องถูกส่งไปกำจัดที่ตับ ดังนั้น การรับประทานยามากเกินความจำเป็น หรือทานยาติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ จึงอาจทำให้เกิดการตกค้างของสารพิษที่ตับได้
2. งดหรือลดดื่มแอลกอฮอล์
เมื่อรู้ว่าสาเหตุเป็นเพราะแอลกอฮอล์ ก็แก้ง่ายๆแค่ลดมันลงหรือเลิกมันไปเลย นอกจากสุขภาะจะดีแล้ว ยังประหยัดเงินได้อีกด้วย
3. ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ
อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ว่านอกจากการดื่มแอลกอฮอล์แล้ว โรคไวรัสตับอักเสบก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตับแข็งได้เช่นกัน ซึ่งโรคไวรัสชนิดนี้มีสาเหตุการเกิดหรือติดเชื้อหลายทาง ทั้งแบบที่ติดเชื้อมาตั้งแต่พ่อแม่ หรือแบบที่ติดได้จากการดื่มหรือทานอาหารร่วมกับคนที่มีเชื้อ
4. ระวังการเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดี
การเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดีอาจส่งผลให้เกิดโรคตับได้ เพราะอวัยวะทั้งสองมีความเชื่อมโยงกัน
5. ออกกำลังกายสม่ำเสมอและควบคุมอาหาร
ทั้งการออกกำลังกายและการรับประทานอาหารอย่างพอเหมาะเป็นเรื่องที่ดีสำหรับสุขภาพ เพราะช่วยป้องกันโรคอ้วนหรือโรคเบาหวานได้ดี รวมถึงป้องกันโรคที่ส่งผลต่อการเสื่อมของตับได้
ถ้าคิดว่าวันนี้เรายังดูแลตับของตัวเองไม่ดีพอ ก็ต้องรีบเปลี่ยนแปลงตัวเองตั้งแต่วันนี้นะคะ เพราะตับเป็นอวัยวะที่เสื่อมลงเรื่อยๆ มีแค่อันเดียว หากเสื่อมหรือเสียไปแล้วคงไม่สามารถซ่อมแซมได้ง่ายๆเหมือนสิ่งของนอกกาย หรือหากตรวจพบเจอความผิดปกติเมื่อไหร่ ก็ต้องรีบเข้ารับการรักษาโดยด่วน อย่ารอให้อาการทรุดหนักไปเสียก่อนถึงจะยอมไปหาหมอ เพราะเมื่อถึงเวลานั้นก็อาจจะรักษาไม่ทันแล้ว…ด้วยความปรารถนาดีค่ะ