เต้าหู้ กับ เต้านม
น้ำเต้าหู้เป็นเครื่องดื่มสุขภาพที่วางขายกันทั่วไป ทั้งในตลาดและร้านสะดวกซื้อ เพราะผู้บริโภคต่างเชื่อในคุณประโยชน์ของการดื่มเครื่องดื่มสุขภาพชนิดนี้ และคิดว่าโปรตีนจากถั่วเหลืองจะช่วยบำรุงร่างกายได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม ยังมีนักวิชาการมากมายที่ถกเถียงกันถึงประโยชน์หรือโทษที่แท้จริงของการดื่มน้ำเต้าหู้ การดื่มน้ำเต้าหู้มากเกินไปเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีกันแน่ ยิ่งดื่มยิ่งมีประโยชน์ หรือยิ่งดื่มยิ่งอันตราย ลองมาอ่านข้อสรุปของเครื่องดื่มนี้กันได้เลยค่ะ
จุดเด่นของน้ำเต้าหู้ หรือนมถั่วเหลือง เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนนิยมบริโภคอย่างหลากหลาย ทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่รักสุขภาพ มักจะคิดเสมอว่าการดื่มน้ำเต้าหู้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อตัวเอง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้น้ำเต้าหู้กลายเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน สามารถดื่มเป็นอาหารหลักหรืออาหารว่างได้ตามใจชอบ และในปัจจุบันก็มีการพัฒนารสชาติให้หลากหลายมากขึ้น มีทั้งใส่งาดำ ชาเขียว สตอร์เบอร์รี่ หรือจะเป็นสูตรลดน้ำตาลเพื่อสุขภาพ ทั้งนี้ ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้บริโภครู้สึกเบื่อที่จะต้องดื่มเครื่องดื่มแบบเดิมๆ นั่นเอง
แล้วข้อดีและข้อเสียของน้ำเต้าหู้ คืออะไรกันแน่ มาลองอ่านข้อสรุปของเครื่องดื่มชนิดนี้ได้เลยค่ะ
มาเริ่มต้นด้วยข้อดีของ ‘น้ำเต้าหู้’ กันก่อนเลยค่ะ หากพูดถึงด้านดีแล้ว น้ำเต้าหู้โดดเด่นอย่างมากในเรื่องต่อไปนี้
1. สารอาหาร
น้ำเต้าหู้มีสารอาหารที่มีประโยชน์มากกว่าเครื่องดื่มทั่วๆไปอย่างแน่นอน เพราะเป็นการทำมาจากถั่วเหลือง แหล่งโปรตีนที่มีคุณค่าทางอาหารสูง ดังนั้น การดื่มเครื่องดื่มประเภทนี้จะเป็นการช่วยเพิ่มโปรตีนให้แก่ร่างกาย โดยในน้ำเต้าหู้มีโปรตีนสูงเทียบเท่ากับโปรตีนในน้ำนมวัวเลยทีเดียว
นอกเหนือไปจากโปรตีนซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยว่อมแซมส่วนที่สึกหรอในร่างกายแล้ว ในน้ำเต้าหู้ยังมีกรดไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งเป็นสารอาหารจำเป็นที่ร่างกายต้องการ โดยหหากน้ำน้ำเต้าหู้มาวิเคราะห์ทางเคมีแล้ว พบว่าในน้ำเต้าหู้มีกรดไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกายในปริมาณมากกว่าที่พบในน้ำนมวัวด้วย
2. ด้านการป้องกันโรคมะเร็ง
ประเทศไทยมีผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งมากขึ้น ซึ่งการดื่มน้ำเต้าหู้อย่างเหมาะสม สามารถช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม ป้องกันโรคกระดูกพรุน และแก้ปัญหาวัยทองได้ เหตุผลสำคัญคือ ในน้ำเต้าหู้มีสารสำคัญท่มีชื่อเรียกว่า ไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogen) ซึ่งเป็นสารสำคัญที่มีส่วนในการป้องกันโรคมะเร็งเต้านมในผู้หญิงได้ ซึ่งการดื่มน้ำเต้าหู้จะได้ผลเมื่อคุณนั้นเลือกดื่มน้ำเต้าหู้เป็นประจำในปริมาณที่เหมาะสม
3. หาซื้อง่าย
ข้อดีสุดท้ายที่ทำให้น้ำเต้าหู้กลายเป็นเครื่องดื่มยอดฮิต ก็คือ น้ำเต้าหู้สามารถหาซื้อเพื่อรับประทานได้ง่าย เรียกว่าที่ไหนๆก็มีขาย และมีให้เลือกดื่มหลากหลาย และที่สำคัญยังเป็นเครื่องดื่มที่มีราคาไม่แพง ได้โปรตีน อิ่มท้องและถือเป็นเครื่องดื่มเจที่ไม่เบียดเบียนสัตว์ด้วย

แล้วข้อเสียของน้ำเต้าหู้ คือ อะไร เพราะดูเหมือนว่าจะเป็นเครื่องดื่มที่ใครๆก็ดื่มกัน ไม่น่าจะมีข้อเสียอะไรร้ายแรง มิเช่นนั้น ก็คงไม่อนุญาตให้ขายกันเกลื่อนแบบนี้ มาลองดูข้อเสียดังกล่าวเลยค่ะ
1. โตไว
คำว่าโตไวในที่นี้ ไม่ใช่เป็นการตัวโต ตัวสูงเหมือนการดื่มน้ำนม แต่เป็นการโตทางเพศซึ่งเกิดขึ้นในผู้หญิงเท่านั้น การดื่มน้ำเต้าหู้เป็นการเพิ่มฮอร์โมนที่คล้ายฮอร์โมนเพศหญิง ดังนั้น ยิ่งดื่มน้ำเต้าหู้เป็นประจำ ก็จะยิ่งทำให้เด็กผู้หญิงกลายเป็นสาวได้เร็วมากขึ้น
2. เสี่ยงมะเร็ง
ข้อเสียของ ‘น้ำเต้าหู้’ ที่ร้ายแรงที่สุดคือ ความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ซึ่งอาจจะดูขัดกับที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าน้ำเต้าหู้ช่วยป้องกันมะเร็งได้ แต่มันเป็นจริงตามที่ได้กล่าวมาแหละค่ะ เพราะอะไรที่มากเกินไป ย่อมไม่ดีกับร่างกายอยู่แล้ว การดื่มน้ำเต้าหู้ก็เช่นกัน หากดื่มมากเกินไป ก็ย่อมเกินผลเสียแก่ร่างกายได้
ซึ่งการรับประทานน้ำเต้าหู้มากเกินไป ทำให้สารไฟโตเอสโตรเจนเกิดการสะสมตัวในร่างกาย และสามารถทำให้เซลล์มะเร็งเติบโตไปได้เช่นกัน ทั้งนี้ สารตัวนี้ทำหน้าที่เสมือนเป็นฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งฮอร์โมนมีทั้งข้อดีและข้อเสีย การได้รับฮอร์โมนเข้าไปมากเกินความจำเป็น จะเป็นตัวเร่งให้สารที่เคยมีคุณสมบัติปกป้อง แปรเปลี่ยนไปเป็นสารก่อเกิดมะเร็งเต้านมได้นั่นเอง
นอกจากนี้ การดื่มน้ำเต้าหู้ที่มีการปรุงรสหวานมากๆ ยังมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วน น้ำหนักตัวขึ้น หรือเป็นเบาหวานได้ด้วย ถึงแม้ว่ารสชาติหวานจะช่วยให้น้ำเต้าหู้ดื่มง่าย และช่วยกลบกลิ่นเหม็นเขียวจากถั่วเหลืองไปได้เป็นอย่างดีก็ตาม แต่ก็อย่าเลือกดื่มเพราะความอร่อยเพียงอย่างเดียว เพราะในระยะยาวจะส่งผลเสียมากกว่าประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับได้
เมื่อได้อ่านแล้ว หลายคนก็ยังคงกังวลใจ ว่าแล้วการดื่มน้ำเต้าหู้ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มันพอดีหรือไม่ มากไป หรือน้อยไปหรือเปล่า ซึ่งปัจจุบันยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ว่า จะต้องดื่มน้ำเต้าหู้เท่าไหร่ถึงจะดี ควรจะต้องได้รับไฟโตเอสโตรเจนจำนวนเท่าไหร่ต่อวัน จึงจะป้องกันโรคต่างๆได้ นอกจากนี้ ผลของไฟโตเอสโตรเจนก็ยังแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ตามสัญชาติ กรรมพันธุ์ อายุ สิ่งแวดล้อม และที่สำคัญคือการรับประทานอาหารอื่นๆ ดังนั้น จึงเป็นการยากที่จะสรุปข้อมูลเหล่านี้
แต่ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมีทั้งประโยชน์และมีโทษทั้งสองด้าน การเลือกรับประทานอย่างเหมาะสมและเลือกรับประทานให้หลายหลายจึงเป็นเรื่องที่เหมาะสมที่สุด ไม่จำเป็นต้องดื่มเฉพาะนมถั่วเหลืองเพียงเพื่อเอาโปรตีนเพียงอย่างเดียว จะดื่มนมวัว นมอัลมอลด์ นมแพะ หรือนมอื่นๆก็ได้ ถ้าร่างกายไม่แพ้สารเหล่านี้ ก็ล้วนแต่ทำได้ทั้งสิ้น