บทความน่ารู้, สุขภาพ, สุขภาพดี, สุขภาพน่ารู้, เกี่ยวกับโรค

ตากระตุก

ตากระตุก

ดวงตาเป็นหนึ่งในสัญญาณที่บ่งชี้อะไรได้หลายอย่าง บางคนเชื่อเรื่องลางบอกเหตุ ว่าการที่ตากระตุกข้างใดข้างหนึ่งมีผลต่อชีวิตของเราได้ ไม่ว่าจะเป็น การเกิดปากเสียงทะเลาะวิวาท การมีเรื่องเดือดร้อนเข้ามาถึงตัว หรืออาจเป็นไปได้ว่าอาการตากระตุกจะทำให้เกิดเรื่องดีๆขึ้น อาจมีเพศตรงข้ามเดินทางเข้ามาหาเรา หรือบางสิ่งบางอย่างที่เราคิดไว้หรือตั้งใจไว้กำลังจะประสบผลสำเร็จ ความเชื่อในเรื่องที่ไม่มีหลักฐานสนับสนุนฝังรากลึกในความคิดของคนไทย จนบางครั้งอาจจะทำให้หลงลืมการดูแลตัวเอง และมัวแต่คิดว่าเป็นเพียงลางบอกเหตุเพียงอย่างเดียวได้

แต่ในทางวิทยาศาสตร์อาจไม่เป็นแบบนั้น เพราะในความเป็นจริงแล้ว อาการตากระตุกบ่อยๆอาจจะกลายเป็น ลางบอกโรค ที่คุณจำเป็นต้องใส่ใจและรีบแก้ไขให้ถูกวิธี เพราะหากมัวแต่เชื่อเรื่องลางร้าย สิ่งร้ายจะต้องเกิดขึ้นกับคุณในอนาคตแน่ๆ

ตากระตุก
ตากระตุก — ภาพจาก : papaidoo.com/news/3442

อาการตากระตุกเป็นหนึ่งในอาการกระตุกที่เกิดขึ้นบนใบหน้า ซึ่งเกิดมาจากการที่กล้ามเนื้อบางส่วนกำลังเกิดปัญหาบางประการ ซึ่งอาการกล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกอาจดูเหมือนจะเป็นอาการที่ดูไม่รุนแรง แต่ในความเป็นจริงแล้วสามารถแบ่งระดับความรุนแรงของอาการกระตุกบนใบหน้าได้หลากหลายระดับ ตั้งแต่สามารถหายเองได้ไปจนถึงการฉีดสารพิษบางอย่างเข้าไปเพื่อระงับการกระตุกแบบชั่วคราว

ประเภทของโรคกล้ามเนื้อใบหน้ากระตุกสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายชนิดดังต่อไปนี้

1. ตาเขม่น

หมายถึง การที่ร่างกายเกิดภาวะการกระตุกของกล้ามเนื้อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น ซึ่งถือเป็นอาการที่เบาที่สุด ยกตัวอย่างเช่น การกระตุกใต้หนังตา การกระตุกที่บริเวณมุมปาก หรือการกระตุกบริเวณกล้ามเนื้อรอบลูกตาข้างใดข้างหนึ่ง อาการดังกล่าวนี้สามารถเกิดได้ทั่วไปในคนที่มีภาวะเครียด รู้สึกกังวลใจ รวมไปถึงคนที่พักผ่อนไม่เพียงพอ ในขณะที่บางรายอาจมีอาการตากระตุกเช่นนี้เป็นประจำ และทำจนติดเป็นนิสัย วิธีการแก้ไขก็ไม่ยากเพียงแค่ลดความเครียดและเพิ่มการพักผ่อนให้มากขึ้น เพียงเท่านี้ อาการที่เป็นอยู่ก็จะหายไปได้

2. ตากระพริบค้าง

อาการดังกล่าวถือเป็นการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของร่างกาย โดยจะมีลักษณะที่ชัดเจน คือ การกระพริบตาพร้อมกันทั้งสองข้าง ซึ่งอาการเหล่านี้เป็นสาเหตุมาจากการที่กล้ามเนื้อบริเวณรอบตาหดเกร็งตัวอยู่ตลอดเวลา ผู้ที่มีอาการในกลุ่มดังกล่าวอาจจะมีลักษณะของการกระพริบตาถี่ๆหรือกระพริบตาปิดค้างและลืมตาไม่ขึ้นก็เป็นได้

3. ใบหน้ากระตุกครึ่งซีก

อาการนี้ยังไม่ถือว่าเป็นอาการที่รุนแรงมากนัก แต่ก็ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ อาการดังกล่าวมักพบในคนไทยซึ่งเป็นความผิดปกติที่เกิดจากกล้ามเนื้อใบหน้ามีการกระตุกถี่ๆ และเกร็งค้างอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ อาการดังกล่าวอาจมีผลสำคัญในเรื่องของความมั่นใจในตัวเอง ผู้ป่วยที่มีอาการดังกล่าวจะรู้สึกรำคาญตัวเอง หรือไม่กล้าที่จะเข้าสังคมเพราะความผิดปกติของตัวเองได้

4. อาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อใบหน้าบริเวณตรงกลาง

ลักษณะของอาการของกลุ่มนี้ก็คือ อาการกระพริบตาค้างร่วมกับการที่ปากจมูกและคิ้วมีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ ซึ่งกลุ่มอาการที่ว่านี้ถือเป็นความรุนแรงชนิดพิเศษที่ต้องได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี

5. การเคลื่อนไหวผิดปกติบริเวณกล้ามเนื้อรอบปากคาง และลิ้น

ผู้ป่วยที่มีอาการในกลุ่มนี้จะมีการเคลื่อนไหวของปาก คาง และลิ้นอย่างไม่เป็นธรรมชาติตลอดเวลา ซึ่งอาการดังกล่าวเกิดขึ้นมาจากกลุ่มคนที่แพ้ยากล่อมประสาทหรือกลุ่มคนที่ใช้ยาเพื่อรักษาโรคพาร์กินสัน ทำให้โดยมากแล้วจะพบความผิดปกตินี้ในผู้สูงอายุ การรักษาโรคนี้ไม่สามารถทำได้หายขาด ทำได้เพียงแค่รักษาอาการที่เป็นอยู่แบบชั่วคราวด้วยการฉีดสารโบทูลินั่มท็อกซินเข้าไปในร่างกาย เพื่อลดอาการเพียงกระตุกเพียงชั่วครู่เท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าการใช้ยาที่ค่อนข้างเช่นนี้จะต้องมีผลแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นตามมาด้วย เช่น อาการตาแห้ง หนังตาตก ตาไม่สู้แสง เห็นภาพซ้อน หรือมีเลือดออกบริเวณที่ฉีดยา อย่างไรก็ตาม อาการดังกล่าวจะค่อยๆลดความรุนแรงลงหลังจากทิ้งระยะเวลาหลังการฉีดยาไปแล้ว

ตากระตุก
ตากระตุก — ภาพจาก : goodlifeupdate.com/healthy-body/85074.html

จากข้อมูลเบื้องต้นจะสังเกตได้ว่าอาการกระตุกบริเวณใบหน้ามีหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่แบบเบาที่สุดไปจนถึงอาการที่หนักและรักษาได้ไม่หายขาด บางชนิดอาการอาจทำให้ผู้ป่วยหมดความมั่นใจในการใช้ชีวิตร่วมกันกับคนอื่นไปได้เลย ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่รู้สึกว่าอาการตากระตุกที่กำลังเป็นอยู่เริ่มรุนแรง ไม่เหมือนเดิม ก็จำเป็นจะต้องไปพบหมอเพื่อวินิจฉัยปัญหาที่เกิดขึ้นในร่างกาย เพื่อรอการแก้ไขที่ตรงจุด แบบนี้จะช่วยให้อาการกล้ามเนื้อกระตุกบนใบหน้าที่คุณเป็นอยู่ลดความรุนแรงลงได้

แต่ถ้ามัวแต่คิดว่าอาการตากระตุกต้องเป็นเรื่องของโชคร้ายเพียงอย่างเดียว อาจจะทำให้คุณพบเจอกับโชคร้ายได้จริงๆอย่างที่คิดไว้ก็เป็นได้ ดังนั้น ก่อนที่โรคร้ายจะทำร้ายเราหรือสายเกินไปที่จะแก้ไข ในวันนี้ต้องหันมาใส่ใจตัวเอง สังเกตตัวเองให้มากขึ้น รวมถึงรักษาสุขภาพของเราให้แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ หลีกเลี่ยงการทำงนั่งหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้กล้ามเนื้อตาอ่อนล้า เส้นประสาทเสื่อมลง และเพิ่มการพักผ่อนกล้ามเนื้อ คลายกล้ามเนื้อดวงตาบ่อยๆ เพียงเท่านี้ก็ช่วยให้อาการตากระตุกลดลงได้แล้วละคะ

Sending
User Review
0 (0 votes)