ทุกวันนี้ การเผชิญกับสารพิษจากสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องง่ายที่ทุกคนมีโอกาสสัมผัส เพราะเพียงแค่ลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ก็ทำให้เราสามารถรับสารพิษต่างๆได้อย่างไร้เกาะป้องกันแล้ว วิธีการแก้ไขจึงทำได้เพียงการฟื้นฟูส่วนต่างๆภายในร่างกายด้วยอวัยวะสุดแสนพิเศษที่เรียกว่า “ตับ” นั่นเอง
????ตับ นับเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกายที่มีขนาดใหญ่มากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบน้ำหนักต่อร่างกายแล้ว พบว่าหนักถึง 2% ต่อน้ำหนักตัวเลยทีเดียว ซึ่งตับมีหน้าที่ในการควบคุมระบบการเผาผลาญอาหาร การสังเคราะห์ การผลิตน้ำดีให้ถุงน้ำดี การช่วยกรองเลือด หรือแม้กระทั่งการหลั่งเอ็นไซม์เพื่อช่วยในการย่อยและการดูดซึมสารอาหารต่างๆ นอกจากนี้ ตับยังทำหน้าที่กำจัดสารพิษต่างๆที่ร่างกายได้รับ เพื่อรักษาสมดุลของร่างกายให้เป็นปกติ

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การใช้ชีวิตของคนในปัจจุบันไม่สามารถหลีกหนีสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้เลย เพราะในหนึ่งวันตั้งแต่ลืมตาขึ้นมา คนเรามีโอกาสที่จะได้รับสารพิษจากทุกทาง ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารที่ก็ไม่อาจจะรู้ได้เลยว่า มีส่วนประกอบอะไรบ้างที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เพราะในอาหารอาจจะประกอบไปด้วยสารกันบูด สารพิษตกค้างจากยาฆ่าแมลง เชื้อราหรือแบคทีเรีย หรือแม้กระทั่งสีผสมอาหาร การได้รับสารพิษเหล่านี้ทีละน้อยๆ อาจยังไม่ส่งผลร้ายออกมาในทันที แต่ร่างกายจะค่อยๆสะสมจนแสดงอาการป่วยออกมาที่สุดในวันหนึ่ง นอกจากนี้ ร่างกายอาจจะได้รับสารพิษผ่านทางการสูดดมทั้งควันบุหรี่ ควันพิษจากท่อไอเสีย หรือควันไฟจากการเผาไหม้ ที่ก็จะค่อยๆสะสมแบบเก็บเล็กผสมน้อย จนลุกลามเป็นโรคร้ายในที่สุด มากไปกว่านั้น ภายในร่างกายเองก็ยังสามารถผลิตสารพิษได้เช่นกัน ซึ่งสารพิษทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาจะถูกลำเลียงไปไว้ที่ตับเพื่อกำจัดให้ออกไปจากร่างกาย
แล้วถ้าเราไม่มีตับแล้ว หรือตับไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพดังเดิมละ ร่างกายจะเกิดอะไรขึ้น คำตอบก็คือ สารพิษที่ไม่ถูกทำลายจะเดินทางเข้าสู่กระแสเลือดและแทรกซึมเข้าสู่ส่วนต่างๆภายในร่างกาย ซึ่งแน่นอนว่าไม่เป็นผลดีต่อชีวิตของเราเป็นแน่ ดังนั้น การถนอมตับด้วยการขจัดสารพิษตกค้างหรือการล้างพิษในตับ จึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้ตับมีอายุการใช้งานที่ยืนยาวมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
ซึ่งประโยชน์จากการกำจัดสารพิษออกจากตับมีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ประโยชน์ในด้านการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง ลดการเกาะตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือด ลดการสะสมของไขมันที่ตับ เสริมสร้างความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในร่างกายโดยเฉพาะที่ผิวหนังทั้งคอลลาเจน อิลาสติน หรือ เส้นเอ็น และบรรเทาความรุนแรงของอาการหวัด เป็นต้น
แล้วใครละที่เหมาะและถึงเวลาที่จะต้องล้างพิษ? คนที่ควรจะต้องล้างพิษตับ คือคนที่ค่อนข้างใช้ชีวิตอย่างมีความเสี่ยง ทั้งคนที่ชอบบุหรี่ คนที่ดื่มสุราเป็นประจำ คนที่ชอบรับประทานอาหารรสจัด อาหารปิ้งย่าง และ คนที่มักเครียดหรือนอนหลับไม่เพียงพอ หากคุณเข้าข่ายบุคคลประเภทนี้ ก็ต้องเตรียมตัวศึกษาข้อมูลการล้างพิษตับไว้บ้างแล้วละค่ะ
การล้างพิษในตับทางการแพทย์ทำได้โดยการใช้น้ำเกลือที่มีส่วนผสมของวิตามิน เกลือแร่ และกรดอะมิโนผ่านเข้าทางหลอดเลือดดำ สารต่างๆเหล่านี้จะช่วยในการสร้างเอ็นไซม์ชนิดต่างๆภายในร่างกาย และมีความสามารถในการกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย โดยสารนี้จะเข้าไปเปลี่ยนสารพิษชนิดไม่ละลายในน้ำ เช่น สารโลหะหนัก ยาฆ่าแมลง ยาบางชนิด แอลกอฮอล์ ให้เป็นสารที่ละลายน้ำได้ แล้วตับก็จะขับสารพิษเหล่านี้ออกมาในรูปของอุจจาระ อย่างไรก็ตาม จะมีสารพิษบางส่วนถูกดูดซึมกลับสู่กระแสเลือดและขับออกทางไต ดังนั้น ในระหว่างที่ตับขจัดสารพิษ ไตก็จะต้องทำงานหนักมากขึ้น เนื่องจากมีสารพิษจำนวนมากที่เคลื่อนที่ออกจากตับเข้าสู่ไต ผู้ที่จะได้รับการล้างพิษตับจึงต้องมีสภาพการทำงานของไตที่สมบูรณ์เพียงพอ
นอกจากนี้ ยังมีวิธีการล้างสารพิษในตับได้ด้วยการควบคุมหรือเพิ่มเติมการรับประทานอาหารบางอย่าง เช่น การดื่มน้ำด่าง การดื่มน้ำมะขาม การดื่มน้ำมันมะกอก การรับประทานดีเกลือ เป็นต้น ซึ่งนอกเหนือจากจะต้องควบคุมประเภทของอาหารที่รับประทานแล้ว จะต้องมีการควบคุมเวลาการรับประทานที่เหมาะสมด้วย ซึ่งสูตรการล้างพิษด้วยตับก็มีหลากหลายสูตร แล้วแต่ว่าใครจะชื่นชอบรูปแบบการรับประทานแบบไหนหรือสะดวกที่จะทำแบบใด โดยส่วนใหญ่จะต้องทำตามขั้นตอนที่แต่ละสูตรระบุไว้อย่างแน่นอน ร่วมกับการออกกำลังกายหรือการใช้ชีวิตประจำวันที่เหมาะสม เช่น การนอนหลับพัหผ่อนอย่างเพียงพอ เป็นต้น เพื่อจะทำให้ร่างกายสามารถขับเอาสารพิษออกทางอุจจาระได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
การล้างพิษในตับอาจมีความจำเพาะในแต่ละบุคคล ซึ่งอาจทำให้มีผลต่างกันไปบ้างเล็กน้อย แต่โดยส่วนใหญ่ก็จะพบว่าเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของตับให้ดีขึ้น ช่วยในการซ่อมแซมเซลล์ ลดการสะสมของไขมัน ขจัดสิ่งสกปรก ของเสีย กากอาหาร รวมทั้งสารพิษที่ตกค้างอยู่ในลำไส้ และช่วยลดโอกาสการเกิดโรคที่ร้ายแรงต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน, โรคความดันโลหิตสูง, โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด เป็นต้น ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและสุขภาพให้กลับมาดีขึ้นดังเดิม