สารกาบา (GABA) เป็นหนึ่งในสารเสริมอาหารที่เชื่อว่าหลายๆคนคงเคยได้ยินตามสื่อโฆษณามามากพอสมควร ว่ากันว่าสารชนิดนี้มีประโยชน์ในการเป็นตัวช่วยด้านการทำงานของระบบประสาทและสมอง แต่น้อยคนนักที่จะรู้ถึงประโยชน์ลึกๆของมันว่าดีเพียงใด กินแล้วมีประโยชน์จริงหรือ หรือเป็นเพียงแค่สิ่งที่ผู้บริโภคคิดไปเองฝ่ายเดียวเท่านั้น
สาร “GABA” ย่อมาจากคำว่า “Gamma – Amino Butyric Acid” (แกมมา-อะมิโนบิวไทริกแอซิด) สารตัวนี้ทำหน้าที่เป็น neurotransmitter หรือสารสื่อประสาทในสมองประเภทสารยับยั้ง (inhibitor) ทำหน้าที่รักษาสมดุลในสมองที่ได้รับการกระตุ้นจากสิ่งเร้าต่างๆ ช่วยทำให้สมองเกิดการผ่อนคลาย ซึ่งเป็นตัวการสำคัญในการควบคุมการทำงานของสมอง

สารกาบา จะช่วยให้สมองของคุณรู้สึกผ่อนคลายและนอนหลับได้สบายตลอดคืน ช่วยลดความเครียดหรือลดความวิตกกังวล และยังช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของร่างกายได้ดีอีกด้วย มากไปกว่านั้นการเสริมกาบายังส่งผลต่อระบบความจำ หรือช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้แข็งแรงมากขึ้นได้ด้วย
แล้วเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ทำไมสารกาบาเพียงตัวเดียวจึงมีอิทธิพลอย่างมากต่อการใช้ชีวิตของเราเสียจริง ผู้เชี่ยวชาญด้านสมองได้ให้คำตอบว่า สารกาบาเป็นกรดอะมิโนที่ผลิตจากกระบวนการ decarboxylation ของกรดอะมิโนที่ชื่อว่า glutamic acid กรดชนิดนี้จะมีบทบาทสำคัญในการทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาท (neurotransmitter) ประเภทสารยับยั้ง ในระบบประสาทส่วนกลาง ช่วยเพิ่มความผ่อนคลายให้แก่สมอง นอกจากนี้ สารกาบายังทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นต่อมไร้ท่อ anterior pituitary ซึ่งทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนที่ช่วยในการเจริญเติบโต ทำให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อ และทำให้กล้ามเนื้อเกิดความกระชับ อีกทั้งยังเกิดสาร lipotropic ซึ่งเป็นสารป้องกันการสะสมไขมันได้ด้วย
โดยปกติ สารกาบาชนิดนี้มีอยู่ในระบบประสาทส่วนกลางของมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว ซึ่งสารกาบาสามารถเกิดขึ้นได้จากกระบวนการทางธรรมชาติที่เปลี่ยนสารกลูตาเมท (Glutamate) ในสมองให้กลายเป็นสารกาบานั่นเอง แต่การได้รับสารกลูตาเมทจากธรรมชาติเพียงอย่างเดียว อาจจะมีความแปรปรวนในด้านปริมาณ และในบางครั้งอาจไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายมนุษย์ ด้วยเหตุนี้เอง จึงมักมีการเติมกาบาเสริมลงในผลิตภัณฑ์อาหารชนิดต่าง ๆ เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับสารกาบาในปริมาณที่เพียงพออย่างแท้จริง
จากตัวอย่างงานวิจัยของ Nakamura และคณะ ในปี 2009 พบว่าเมื่อนำชอคโกแลตที่มีส่วนผสมของสารกาบาที่ผลิตจากกรดกลูตามิกปริมาณ 0.28 มิลลิกรัม ให้ผู้ที่ผ่านการเพิ่มความเครียดโดยการทำแบบทดสอบประเภท Arithmetic รับประทาน และตรวจวัดค่าความเครียดผ่านค่า HRV และ CgA ภายในเวลาที่กำหนด ผลการทดสอบพบว่า ปริมาณตัวชี้วัดทั้งสองมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การทดลองนี้จึงสนับสนุนข้อเท็จจริงที่ว่า ชอคโกแลตผสมกาบาสามารถช่วยลดความเครียดได้จริง
การผลิตกาบาในระดับอุตสาหกรรมถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการในการประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์อาหาร เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคที่ประสบภาวะเครียดสะสม ซึ่งการผลิตสามารถทำได้ทั้งการผลิตจากวัตถุดิบและกรรมวิธีทางธรรมชาติ ไปจนถึงการสังเคราะห์จากวัตถุดิบประเภทปิโตรเคมี โดยหากเป็นสารกาบาที่ผลิตจากกรดกลูตามิก (Glutamic acid) โดยใช้วิธีการหมักทางธรรมชาติ จะเป็นการผลิตด้วยเชื้อ Lactobacillus hilgardii K-3 แล้วจึงนำมาทำแห้งเพื่อเก็บในรูปแบบผงละเอียด
สารกาบาที่ใช้เติมในผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อลดความเครียด หรือความผ่อนคลายอารมณ์ มักจะพบผสมอยู่ในเครื่องดื่ม น้ำผลไม้ โยเกิร์ต ลูกอม หมากฝรั่ง ไส้กรอก ขนมปัง ชีส นมถั่วเหลืองพร้อมดื่ม หรือกาแฟพร้อมดื่ม นอกจากนี้ อาจอยู่ในรูปแบบของผลิตภัณฑ์อาหารเสริมชนิดเม็ด เพื่อความสะดวกในการรับประทาน
อย่างไรก็ตาม จากหลักฐานทางงานวิจัย พบว่า ปริมาณกาบาแค่เพียงประมาณ 20-30 มิลลิกรัมต่อวัน ก็เพียงพอต่อการผ่อนคลายความเครียดแล้ว ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า การรับประทานสารกาบามากไปกว่านี้คงจะไม่มีผลดีอะไรตอบคืนกลับมากนัก แถมยังเป็นการสิ้นเปลืองเงินในกระเป๋าของคุณไปอย่างเปล่าประโยชน์ อีกด้วย

ซึ่งหากไม่ต้องการรับประทานกาบาในรูปแบบที่สังเคราะห์ขึ้นมา ก็สามารถหารับประทานได้จากแหล่งอาหารตามธรรมชาติ เช่น ใบชาแห้ง(100-200 mg GABA /100g), เมลอน (74.5 mg GABA /100g), มะเขือเทศ(62.6 mg GABA /100g), กิมจิ (59.4 mg GABA /100g), ช็อกโกแลต (14.5 mg GABA /100g), ข้าวกล้องงอก (10 mg GABA /100g), ฟักทอง (9.7 mg GABA /100g) หรือเต้าหู้ (6.4 mg GABA /100g) เป็นต้น ซึ่งก็สามารถช่วยในการผ่อนคลายความเครียดของสมองได้ดีเช่นเดียวกัน
จะเห็นได้ว่า คนเราแทบไม่จำเป็นต้องได้รับสารกาบาในรูปแบบของอาหารเสริมเลย หากได้รับกาบาในรูปแบบของอาหารจากธรรมชาติที่เพียงพออยู่แล้ว ซึ่งนอกเหนือจากสารกาบาที่เราหวังจะได้แล้ว การรับประทานอาหารจากธรรมชาติ ยังส่งผลให้เราได้รับวิตามิน แร่ธาตุหรือใยอาหารอื่นๆที่มีประโยชน์ที่ดีต่อร่างกายเป็นผลพลอยได้อีกด้วย
อย่างไรก็ดี ผู้บริโภคบางคนอาจจะมีความจำกัดในการรับประทานอาหารที่มาจากธรรมชาติในบางชนิด การรับประทานในรูปแบบของอาหารเสริมทั้งแบบที่ผสมในอาหารหรือแบบที่เป็นอาหารเสริมชนิดเม็ด จึงเป็นหนึ่งในทางออกที่เหมาะสมสำหรับคนที่ต้องการเสริมการทำงานของระบบประสาทและสมองที่ดีทางหนึ่ง เพียงแต่ต้องรับประทานให้พอเหมาะพอควรตามแต่ที่ร่างกายต้องการก็เท่านั้นเอง