ผักดิบกินไม่ดี
หากคุณคิดว่าการทานผักถือเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพเสมอไปคุณอาจจะกำลังคิดผิดแล้ว เพราะผักไม่ได้มีดี 100% แค่เพียงวิธีการรับประทานที่ไม่ถูกต้องก็คอยขัดขวางสิ่งที่จะทำให้คุณมีโอกาสที่จะได้รับสิ่งดีๆจากการรับประทานผักแล้ว ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดมาโดยตลอด โดยเฉพาะเมนูอาหารไทยพื้นบ้านที่มักนิยมนำผักสดมาทานแกล้มคู่กับอาหารจานโปรดหลายเมนู ทั้งเมนูน้ำพริก เมนูแกงเผ็ด เมนูก๋วยเตี๋ยว แต่วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจ และบอกให้คุณได้รู้ไว้ว่าผักชนิดใดบ้างที่ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะนำมากินตอนที่ยังไม่สุก แม้ว่ามันจะดูน่ารับประทานแค่ไหนก็ต้องอดใจไว้นะคะ ถ้ายังไม่อยากได้รับอันตราย
แม้ว่าผักชนิดนั้นๆ จะถูกกล่าวอ้างว่ามีวิตามินสูง มีใยอาหารสูง หรือมีแร่ธาคุสูง ซึ่งล้วนแต่เป็นผลดีต่อสุขภาพมากมายทั้งนั้น แต่หากคุณรับประทานผักผิดวิธีการ ก็ยากที่จะดึงเอาคุณประโยชน์จากผักชนิดนั้นออกมาได้เต็มที่ ในทางตรงกันข้าม กลับดึงเอาโทษของมันมาใส่ตัวด้วยซ้ำ มาลองดูกันดีกว่าว่ามีผักชนิดใดบ้างที่จำเป็นต้องนำมาปรุงให้สุกด้วยวิธีที่ถูกต้องก่อน จึงจะสามารถเอร็ดอร่อยกับมันได้
มีงานวิจัยเรื่องคุณค่าทางโภชนาการของผักจากหลายสถาบัน ซึ่งหนึ่งในสถาบันที่น่าเชื่อถือในประเทศไทย ก็คือ สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ทังนี้ ทางสถาบันฯเคยเปิดเผยถึงอันตรายจากการรับประทานผักดิบหลายชนิด เพื่อให้ผู้บริโภครับรู้และไม่ลืมที่จะหลีกเลี่ยง ดังต่อไปนี้

1. กะหล่ำปลี
เป็นผักยอดฮิตที่สามารถพบเจอได้ในหลากหลายเมนูอาหาร ทั้งอาหารพื้นบ้านไทยหรืออาหารต่างชาติ ในความเป็นจริงแล้ว คนที่มีสุขภาพปรกติทั่วไปสามารถรับประทานกะหล่ำปลีดิบๆได้ แต่สำหรับผู้ป่วยบางกลุ่ม อย่างเช่น ผู้ป่วยไฮโปไทรอยด์ หรือคนที่ปัญหาเกี่ยวกับการทำงานของต่อมไทรอยด์ที่ทำงานได้ต่ำกว่าปกติ ไม่ควรจะรับประทานกะหล่ำปลีดิบเด็ดขาด
ทั้งนี้ก็เพราะในกะหล่ำปลีดิบมีสารกอยโตรเจน (Goitrogen) ที่มีส่วนในการขัดขวางการสร้างฮอร์โมนในต่อมไทรอยด์ สารกอยโตรเจนจะเข้าไปยับยั้งการดูดซึมไอโอดีน และจะยิ่งทำให้ต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนได้น้อยลงไปอีก
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า กะหล่ำปลีจะกลายเป็นของต้องห้ามของผู้ป่วยไฮโปไทรอยด์เสมอไป เพราะเมื่อนำเอากะหล่ำปลีไปผ่านความร้อน สารกอยโตรเจนก็สามารถสลายไปเองตามธรรมชาติได้แล้ว
แต่อีกหนึ่งความน่ากลัวของกะหล่ำปลี ก็คือ สารเคมี ที่มีโอกาสตกค้างในผักชนิดนี้ได้สูง ยิ่งการรับประทานแบบดิบก็ย่อมเพิ่มความเสี่ยงเข้าไปอีก ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะป่วยเป็นไฮโปไทรอยด์หรือไม่ ก็ควรนำผักเหล่านี้ไปปรุงผ่านความร้อนก่อนรับประทานจะดีกว่า
2. ถั่วงอก
ถั่วงอกก็เป็นผักอีกหนึ่งชนิดที่พบได้บ่อยๆในอาหาร ผัดไท หรือก๋วยเตี๋ยว ซึ่งก็ล้วนแต่ใส่ถั่วงอกเพื่อเพิ่มความน่ารับประทานให้กับอาหารทั้งสิ้น และในบางครั้งคนไทยก็มักจะนิยมรับประทานถั่วงอกดิบ ซึ่งการรับประทานแบบนี้อาจทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์ที่ปนเปื้อนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรียที่เกิดจากการดูแลวัตถุดิบได้ไม่ดีเพียงพอ ทั้งนี้เพราะถั่วงอกเป็นผักชนิดหนึ่งที่เชื้อโรคเติบโตได้ดียิ่งต้องเก็บในอุณหภูมิเย็นที่มีความชื้นสูง ก็ยิ่งเสี่ยงต่อการเจริญเติบโตของเชื้อโรคได้มากขึ้น ดังนั้น บุคคลที่อ่อนแอ เด็กเล็ก หรือหญิงตั้งครรภ์ จะยิ่งมีความเสี่ยงของการได้รับสารปนเปื้อนจากการรับประทานผักดิบแบบนี้มากขึ้น
วิธีป้องกันทำไม่ยากแค่เพียงแค่เรานำเอาถั่วงอกลงไปลวกให้สุกหรือไปผ่านความร้อนด้วยวิธีต่างๆให้สุก ก็จะช่วยให้เกิดความปลอดภัยในการรับประทานได้มากขึ้นแล้ว
3. ถั่วฝักยาว
ถั่วฝักยาวเป็นพืชชนิดหนึ่งที่เกษตรกรนิยมใช้ยาฆ่าแมลง เพื่อป้องกันการโดนแทะ กัด กิน ทำให้ได้ผักที่สวยงามและได้เป็นผลผลิตตามที่เกษตรกรตั้งใจ ดังนั้น ถั่วฝักยาวจึงเป็นผักที่เสี่ยงต่อการมีสารตกค้างสูง จึงไม่เหมาะอย่างยิ่งที่จะรับประทานแบบดิบๆ แต่สารเคมีก็สามารถจางหายไปได้หากเรามีวิธีการล้างและเตรียมที่ดีเพียงพอ นั่นก็คือ การแช่ในน้ำโดยอาจจะหักเป็นท่อนๆก่อนเพื่อให้น้ำสามารถซึมเข้าไปชะล้างสารเคมีได้ดีมากขึ้น นอกจากนี้ ก็ควรนำไปลวกให้สุกก่อนที่จะรับประทาน ก็จะช่วยให้ได้รับความปลอดภัยในการบริโภคผักชนิดนี้มากยิ่งขึ้น
4. หน่อไม้ดิบหรือมันสำปะหลัง
พืชชนิดนี้เป็นผักที่เติบโตในดิน ได้แก่ หน่อไม้ดิบหรือมันสำปะหลัง พืชทั้งสองนี้มีสารประกอบที่ชื่อว่า ไซยาไนด์ สารตัวนี้เป็นสารพิษที่มาจากธรรมชาติแต่สามารถกำจัดสารตัวนี้ออกได้หากจะนำไปต้มในน้ำเดือดประมาณ 10 นาที สารไซยาไนด์ก็จะลดลงได้สูงถึง 90% ดังนั้น หากคิดจะรับประทานพืชผักเหล่านี้ ต้องรู้วิธีในการกำจัดพิษที่ถูกต้อง ใครอยากจะรับประทานต้องทราบวิธีการกำจัดสารอันตรายเหล่านี้ออกไปก่อนได้อย่างถูกต้อง เพื่อประโยชน์และความอร่อยที่คุ้มค่า
โลกใบนี้ไม่มีอะไรที่ถูกต้องหรือผิดไปทั้งหมด มีแต่แค่เราเท่านั้นที่จะป้องกันและดูแลตัวเองด้วยวิธีที่ถูกต้องที่สุดที่จะทำได้ เพื่อให้ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของธรรมชาติ และเพื่อให้เราสามารถอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างดีที่สุดนั่นเอง ดังนั้น การศึกษาข้อมูลต่างๆอย่างรอบคอบจะเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้เรามีความสุข และมีชีวิตที่ยืนยาวกว่าเดิมได้