เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า การรับประทานรสหวานมากๆ ย่อมไม่เป็นประโยชน์ที่ดีต่อร่างกายเสียเท่าไรนัก แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังชอบและติดใจในรสชาติหวานอร่อยอยู่ดี ซึ่งที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นเหตุผลเนื่องมาจากพฤติกรรมการบริโภคที่ติดมาตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็ก และเป็นต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน จนทำให้กลุ่มคนเหล่านี้ยากที่จะถอนตัวออกมาจากการเสพติดรสหวานได้เลย
การรับประทานหวานไม่ว่าจะเป็นความหวานจากน้ำตาลทราย น้ำตาลผลไม้ น้ำตาลจากการย่อยแป้ง หรือน้ำตาลสังเคราะห์ทางเคมี ย่อมมีผลที่แย่ต่อร่างกายหากรับประทาน ‘เกิน’ คำว่าพอดี ซึ่งข้อเสียที่สามารถพบได้จะมีอะไรบ้างนั้น เรามารับรู้ไปพร้อมๆกันได้เลยค่ะ

เป็นที่แน่นอนว่าการบริโภคน้ำตาลส่งผลอย่างยิ่งต่อการเกิดอาการ “ฟันผุ” เนื่องจาก แบคทีเรียที่อยู่บริเวณผิวเคลือบฟันจะย่อยน้ำตาลให้กลายเป็นกรด แล้วละลายแร่ธาตุที่สำคัญออกจากตัวฟัน ซึ่งปัจจัยที่สำคัญที่สุดคงนี้ไม่พ้น ‘ความถี่’ ในการบริโภค เพราะ หากเราไม่ได้เป็นคนรับประทานหวานบ่อย หรือมีการเว้นระยะห่างระหว่างการบริโภคในแต่ละครั้งที่มากเพียงพอ ก็จะส่งผลทำให้เกิดกระบวนการคืนกลับแร่ธาตุไปยังเนื้อฟันได้ หรือทำให้เกิดสมดุลที่ดีระหว่างการเพิ่มและอัตราการสูญเสียของแร่ธาตุบนผิวฟัน ฟันก็จะไม่ผุง่ายๆนั่นเอง ในทางตรงกันข้าม การรับประทานหวานแบบไม่เว้น ก็จะส่งผลให้เนื้อฟันเกิดการผุกร่อนได้ง่าย และกลายมาเป็นสาเหตุสำคัญของ ‘การเกิดฟันผุ’ ที่ว่าไว้นี่ละ ทั้งนี้ ปัจจัยที่สำคัญอีกประการก็คือ ‘ชนิดของสารให้ความหวาน’ โดยจะพบว่าการรับประทานสารให้ความหวานประเภท น้ำตาลทรายหรือน้ำตาลฟรุกโตส มีผลต่อการเกิดฟันผุมากกว่าการรับประทานสารให้ความหวานในกลุ่มที่ให้พลังงานต่ำอย่าง acesulfame-K, aspartame, saccharin, xylitol หรือ sorbitol
ผลร้ายด้านต่อมา คือผลต่อการเกิด “โรคอ้วน” จากการวิจัย พบว่า “เด็กที่ดื่มน้ำอัดลมหรือน้ำหวานจะมีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้น” ทั้งนี้ ยังพบอีกด้วยว่า การบริโภคเครื่องดื่มดังกล่าวที่มีปริมาณน้ำตาลที่สูง จะส่งผลต่อเนื่องให้เด็กกลุ่มนี้บริโภคอาหารที่มีพลังงานสูง ประเภทแป้ง น้ำตาล และไขมัน มากขึ้นกว่าเด็กที่ไม่ดื่มด้วย เนื่องมาจากการบริโภคน้ำตาลจะกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกอิ่มในระยะเวลาสั้นๆเพียงแค่ 2 ชั่วโมง หลังจากนั้นร่างกายก็จะเริ่มหิวใหม่อีกครั้ง
การบริโภคน้ำตาลจึงมีผลทำให้คุณสามารถเพิ่มปริมาณการบริโภคอาหารได้มากขึ้นนั่นเอง
มาถึงผลด้านต่อไป ซึ่งก็คือ ผลที่ทำให้เกิดโรคร้ายแรงอย่าง “โรคเบาหวาน” การติดหวานและการกินอาหารที่ให้พลังงานสูงจะทำให้สามารถเพิ่มโอกาสในการเป็นโรคเบาหวานได้มากขึ้น เนื่องจากอาหารที่มีน้ำตาลมากจะทำให้ตับอ่อนต้องผลิตฮอร์โมนอินซูลินมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ร่างกายเกิดสภาพดื้อต่ออินซูลิน อันจะนำไปสู่การเสื่อมสภาพเมื่ออายุมากขึ้น และมีผลให้สามารถผลิตอินซูลินได้น้อยลง จนไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ และเกิดเป็นโรคเบาหวานในที่สุด และเมื่อคุณเข้าใกล้คำว่าเบาหวานมากขึ้น ก็มักจะมีโอกาสเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆได้อีกมากมาย เช่น โรคไตวาย โรคต้อกระจก โรคลานสายตาเสื่อม เป็นแผลเรื้อรัง ยิ่งไปกว่านั้นอาจมีส่วนให้เกิดปัญหาต่อเส้นเลือดหัวใจ ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่คร่าชีวิตคนเป็นโรคเบาหวานมานักต่อนักแล้ว

อีกหนึ่งปัญหาที่มีน้ำตาลเป็นต้นเหตุ ก็คือ การเกิด “โรคมะเร็ง” ผลจากการค้นคว้าวิจัยในหลายประเทศ ตลอดระยะเวลา 40-50 ปีมานี้ พบว่า การเกิดมะเร็งมีสัมพันธ์กับการรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยไขมัน อาหารดัดแปลง สารปรุงแต่งอาหาร และน้ำตาล ที่เป็นเช่นนี้เนื่องมาจาก ‘น้ำตาล’ ถือเป็นปัจจัยปฐมภูมิที่ ก่อเกิดและเร่งรัดการเติบโตของมะเร็งในทุกรูปแบบ เหตุผลสำคัญอยู่ตรงที่ น้ำตาลนั้น เป็นอาหารที่ก่อให้เกิดกรดอย่างรุนแรงที่สุด การที่เซลล์ต่างๆ ไม่ได้ออกซิเจนที่ส่งไปเลี้ยงร่างกายตามปกติ และไม่มีการขจัดของเสียที่เป็นกรด เซลล์ก็จะต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เป็นกรดและสภาวะที่มีออกซิเจนต่ำอย่างช้าๆ ในขณะเดียวกัน ก็จะส่งเสริมให้ร่างกายเกิดเป็นมะเร็ง ที่สามารถเติบโตขึ้นได้ดีในสภาวะที่เป็นกรดดังกล่าวนี่เอง
ส่วนสุดท้ายคือเรื่องของ “อารมณ์” การเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกายอย่างรวดเร็วด้วยการบริโภคน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวที่ความเข้มข้นสูงๆ สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว หรือที่เรียกกันว่า “The sugar blues blues” อาการเริ่มแรกของภาวะนี้ มักจะมีความวิตกกังวลหรือกระสับกระส่าย และหลังจากนั้นก็จะเริ่มรู้สึกซึมเศร้าหรือมีพลังงานที่ลดต่ำลง
จะเห็นได้ว่า การบริโภคน้ำตาลคล้ายกับการบริโภคสารเสพติด เมื่อใดที่เราบริโภคมาก ความต้องการของร่างกายก็จะสูงมากขึ้นตามไปด้วย ขณะเดียวกัน หากหยุดรับประทานโดยทันที ก็มักจะมีอาการคล้ายอาการขาดยา ส่วนมากจะมีอาการปวดหัว สั่น และปวดตามตัว นอกจากนี้น้ำตาลยังอาจทำให้เกิดความไม่สมดุลของสารสื่อประสาท (neurotransmitters) ในสมอง จึงอาจทำให้เกิดความผิดปกติทางสติปัญญาและอารมณ์ ตามที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้นได้ ดังนั้น จะเป็นการดีมาก ถ้าเราสามารถควบคุมปริมาณการรับประทานน้ำตาลให้เหมาะสมได้ตั้งแต่วันนี้ เพราะจะส่งผลให้ชีวิตของเราในวันข้างหน้ามีความปลอดภัย และลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคภัยร้ายๆได้อีกหลายประการ