โรคเริม ต้องระวัง
โรคเริมเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ซึ่งจะเกิดขึ้นที่บริเวณผิวหนังหรือเยื่อเมือกต่างๆในร่างกาย บริเวณที่พบบ่อยๆก็คือ บริเวณริมฝีปาก หรือบริเวณอวัยวะเพศ การติดต่อของโรคเริมจะเกิดขึ้นเมื่อมีการได้รับเชื้อไวรัสจากการสัมผัสกับผู้ที่เคยป่วยเป็นโรคเริมมาก่อน เช่น มีการสัมผัสโดนน้ำเหลืองจากตุ่มของโรคเริม ไม่ว่าจะเป็น การดื่มน้ำแก้วเดียวกัน การรับประทานอาหารด้วยช้อนคันเดียวกัน การใช้ลิปสติกแท่งเดียวกัน รวมไปถึงการมีเพศสัมพันธ์ เป็นต้น พฤติกรรมเหล่านี้เป็นหลายๆทางที่จะทำให้เกิดการติดเชื้อจากโรคเริมได้ทั้งสิ้น
เมื่อร่างกายได้รับเชื้อจากโรคเริมเข้ามาในครั้งแรก เชื้อไวรัสจะเข้าไปสะสมในปมเส้นประสาท ซึ่งจะยังไม่แสดงอาการในช่วงแรกของการติดเชื้อ แต่เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายได้รับปัจจัยกระตุ้น ก็จะทำให้เชื้อเคลื่อนที่จากปมประสาทไปยังปลายประสาท และเกิดเป็นโรคบริเวณผิวหนังหรือเยื่อบุได้

โรคเริมเกิดขึ้นมาจากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งมีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่
ชนิดที่ 1 (Herpes Simplex virus type 1) มักจะมีการติดเชื้อในบริเวณปากหรือรอบๆปาก ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายอ่อนแอลงหรือในเวลาที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำ ไม่ว่าจะเป็น การพักผ่อนน้อย มีความเครียดสูง มีการพักฟื้นจากการเจ็บป่วย หรือมีการผ่าตัดต่างๆ รวมไปถึงช่วงที่มีประจำเดือนก็จะทำให้อาการเริมนั้นกำเริบขึ้นมาได้
ชนิดที่ 2 (Herpes Simplex virus type 2) เป็นการติดเชื้อที่บริเวณอวัยวะเพศ รวมไปถึงบริเวณใกล้เคียง ไม่ว่าจะเป็น ช่องคลอด ปากมดลูก ทวารหนัก ถุงอัณฑะ อวัยวะเพศทั้งชายและหญิง
หากคุณเคยป่วยเป็นโรคเริมมาแล้วก็จะใช้ระยะเวลาในการรักษาให้หายได้เร็วกว่าคนที่ไม่เคยป่วยมาก่อน
ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อด้วยไวรัสชนิดไหนหรือเมื่อใดก็ตาม เมื่อร่างกายอ่อนแอลงก็จะสังเกตเห็นร่องรอยของโรคเริมขึ้นมา และยังส่งผลให้เกิดการติดเชื้อไปสู่อวัยวะอื่นๆในร่างกายได้เช่นกัน เช่น การติดเชื้อที่สมอง เป็นต้น
ในส่วนของอาการที่เกิดขึ้นเมื่อคุณพบเจอกับการป่วยเป็นโรคเริม นั่นก็คือ คุณจะมีตุ่มพองใสๆเล็กๆเกิดขึ้นที่บริเวณผิวหนังที่มีการติดเชื้อ ตุ่มใสจะพองตัว และทำให้รู้สึกปวดแสบปวดร้อน จากนั้นเมื่อผ่านไปประมาณ 1-2 วัน ตุ่มจะแตก หากมีการติดเชื้อก็จะเกิดการอักเสบและลุกลามจนเป็นแผลที่มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น
นอกจากนี้ คุณจะมีอาการอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามร่างกาย ซึ่งเป็นเหตุผลมาจากปฏิกิริยาการก่อโรคของเชื้อไวรัสที่คุณได้รับนั่นเอง อาการของคุณอาจจะมีอาการคล้ายกับการป่วยเป็นโรคหวัด แต่จะไม่มีอาการคัดจมูกน้ำมูกไหล เมื่อผ่านไปประมาณ 1-2 สัปดาห์อาการจะหายไปเอง ทั้งนี้ วิธีการในการรักษาโรคเริมจะต้องเน้นการรักษาตามอาการที่เกิดขึ้น แต่สิ่งสำคัญที่ควรระวัง ก็คือ ภาวะแทรกซ้อน ซึ่งจะเกิดขึ้นจากการติดเชื้อซ้ำซ้อนของแบคทีเรีย ซึ่งหากมีการติดเชื้อซ้ำซ้อนนี้ในบริเวณสำคัญอย่างดวงตา ก็อาจจะมีผลเสียที่จะทำให้เกิดการตาบอดหรือสูญเสียการมองเห็นไปเลย และหากการติดเชื้อลุกลามไปถึงสมอง ก็จะทำให้คุณได้รับอันตรายที่มากขึ้นจนถึงขั้นเสียชีวิตได้เช่นกัน

แม้ว่าโรมเริมจะเป็นโรคที่สามารถหายเองได้เมื่อระยะเวลาผ่านไป และอาการที่กลับมาเป็นซ้ำอาจจะมีอาการไม่รุนแรงมากเท่ากับการเป็นครั้งแรก แต่คุณก็ยังจำเป็นต้องมีการดูแลรักษาตัวให้ดี เพื่อป้องกันไม่ให้การเกิดโรคเริมนั้นกลับมาเป็นซ้ำอีก ซึ่งวิธีการดูแลตัวเองให้ดีที่สุด ก็คือ การพักผ่อนให้เพียงพอ ทำให้ตัวเองมีภูมิคุ้มกันร่างกายที่สูงตลอดเวลา ดื่มน้ำมากๆ ก็จะช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสจากโรคเริมหรือการกำเริบของโรคเริมอีกครั้ง
ในส่วนของแผลตุ่มน้ำที่เกิดขึ้น ก็ต้องมีการดูแลรักษาให้ดีเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการฟอกสบู่ให้สะอาด เพื่อป้องกันไม่ให้ตุ่มเป็นหนอง รวมไปถึงไม่ควรใช้มือแกะเกาหรือทำให้ตุ่มแตก เพราะจะทำให้เชื้อโรคนั้นกระจายไปสู่ส่วนอื่นๆ ในกรณีที่มีไข้ก็สามารถรับประทานยาลดไข้เพื่อบรรเทาอาการปวดได้
การป้องกันโรคเริมที่สุดไม่ใช่เรื่องของสิ่งแวดล้อมภายนอก แต่ต้องมาจากการกระทำของตัวคุณเอง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการทำให้ตัวเองแข็งแรง การพยายามรักษาความสะอาดของร่างกาย รวมไปถึงการไม่ใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกันกับคนอื่น เพื่อป้องกันการรับเชื้อโรคและแพร่เชื้อโรค ไม่ว่าจะเป็นโรคเริมหรือโรคอื่นๆก็ตาม
หากมีจากการป้องกันตัวที่ถูกวิธี ดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอ และรักษาร่างกายให้แข็งแรงตลอดเวลา คุณก็คงไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดโรคชนิดนี้กับตัวคุณอีกต่อไป