กินพริก พิชิตโรค
ประเทศไทยขึ้นชื่อในเรื่องของการรับประทานอาหารที่มีรสเผ็ดร้อน ทำให้พริกเป็นหนึ่งในพืชที่นิยมนำมาใช้ปรุงอาหารเพื่อเพิ่มรสชาติให้น่ารับประทานกันอย่างมาก ทั้งนี้ พริกในประเทศไทยนอกจากจะมีความสามารถในการนำมาใช้ประกอบอาหารแล้ว ยังมีคุณสมบัติในการรักษาโรคต่างๆอีกมากมาย
มีงานวิจัยหลายงานสืบค้นและพบว่าการรับประทานพริกในปริมาณที่เหมาะสมและถูกปริมาณ สามารถลดความเสี่ยงในการเป็นโรคต่างๆได้เป็นอย่างดี ในบทความนี้เราจะมาทำความเข้าใจถึงข้อดีของการรับประทาน ‘พริก’กันค่ะ อีกทั้งมีข้อระมัดระวังอะไรบ้างหรือไม่หากต้องการรับประทานพริกให้ได้ประโยชน์และปลอดภัยมากที่สุด
ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับคนที่ชอบรับประทานเผ็ดเลยก็ว่าได้ เพราะหากคุณมีการรับประทานพริกเป็นประจำ คุณจะได้รับประโยชน์ที่นอกเหนือไปจากความเผ็ดร้อน การรับประทานพริกจะช่วยให้คุณสามารถลดความเสี่ยงในการเป็นโรคต่างๆ หรือลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตได้เลย
พริกถือเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีรสชาติเผ็ดร้อน และมักจะเป็นสมุนไพรที่ทุกๆบ้านจะต้องมีไว้ติดครัวเพื่อเพิ่มรสชาติและความแซ่บให้กับอาหาร ซึ่งนอกเหนือจากรสชาติที่โดดเด่นของพริกแล้ว พริกยังมีสรรพคุณทางยาอีกหลายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การลดน้ำหนัก การสร้างภูมิคุ้มกันโรค การป้องกันโรค เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็มาจากสารสำคัญที่อยู่ในพริกที่มีชื่อว่า “แคปไซซิน”
แคปไซซินเป็นสารตัวหนึ่งที่อยู่ในพริก และจะมีอยู่มากในบริเวณเยื่อแกนกลางสีขาว ในขณะที่ส่วนเปลือกหรือเมล็ดจะมีสารตัวนี้อยู่น้อย เราลองมาทำความเข้าใจถึงคุณสมบัติพิเศษในการช่วยบำรุงร่างกายกันเลยดีกว่า

นิตยสาร Journal of the American College of Cardiology ได้เคยมีการทำการทดสอบกับคนถึง 23,000 คนตลอดระยะเวลานาน 8 ปี เพื่อเฝ้าดูและจับตามองพฤติกรรมในการรับประทานอาหาร รวมไปถึงสุขภาพของผู้เข้าร่วมวิจัยทุกๆท่าน ซึ่งผลการทดลองสามารถสรุปออกมาได้ว่า ผู้ที่มีการรับประทานพริกจะมีอัตราความเสี่ยงในการเสียชีวิตจากโรคหัวใจได้ต่ำกว่าผู้ที่ไม่รับประทานพริกถึง 40%
เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ก็มาจากสารสำคัญที่ชื่อแคปไซซินนั่นแหละค่ะ แคปไซซินมีคุณสมบัติในการปรับการทำงานของหลอดเลือดและหัวใจ ทำให้สามารถที่จะควบคุมอัตราการเผาผลาญพลังงานในร่างกายได้เป็นปกติ และเชื่อว่าสารตัวนี้ยังสามารถช่วยในการบรรเทาอาการปวดประสาท บรรเทาโรคไขข้อ และรักษาโรคในระบบทางเดินอาหารรวมไปถึงการป้องกันโรคมะเร็งได้อีกด้วย
อีกหนึ่งสรรพคุณที่พริกสามารถทำได้ดี ก็คือ การช่วยขับเสมหะและทำให้ทางเดินหายใจของเราโล่งโปร่งสบาย เหตุผลก็เพราะสารแคปไซซินนี่เอง หากเราลองสังเกตดูเราจะพบว่าเวลาที่เรารับประทานอาหารที่มีรสชาติเผ็ดมากๆ มักจะมีอาการน้ำมูกน้ำตาไหลไปพร้อมๆกันกับการรับประทานอาหาร ซึ่งอาการต่างๆนี้จะทำให้เสมหะที่มีความเหนียวข้นเกิดการเจือจางลง และเป็นผลทำให้สามารถขับเสมหะออกมาได้ง่าย

นอกจากนี้ พริกยังมีส่วนช่วยในการสลายลิ่มเลือด ซึ่งลดสาเหตุของการเกิดโรคลิ่มเลือดอุดตันหรือเส้นเลือดหัวใจตีบตันได้ โดยงานวิจัยดังกล่าวก็มีนายแพทย์ สุคนธ์ วิสุทธิพันธ์ จากโรงพยาบาลศิริราช ที่ได้ทำการทดลองว่า คนที่มีการรับประทานพริกอยู่เสมอจะมีผลทำให้ร่างกายสามารถสลายลิ่มเลือดได้ดีกว่า แล้วยังพบอีกว่าคนเอเชียที่มีการรับประทานพริกเป็นประจำจะมีโอกาสในการเกิดโรคการอุดตันในเส้นเลือดได้น้อยกว่าคนในแถบยุโรปที่มีเปอร์เซ็นต์ในการรับประทานพริกที่ต่ำกว่า
ในส่วนต่อมาก็เป็นประโยชน์ในเรื่องของการผ่อนคลาย เชื่อกันว่าการรับประทานพริกจะช่วยทำให้สมองส่วนกลางได้รับการกระตุ้นจนทำให้เกิดการหลั่งสารเอ็นโดรฟินออกมา ซึ่งสารเอ็นโดรฟินก็เป็นสารแห่งความสุขเมื่อถูกหลั่งออกมาก็จะทำให้เกิดความสุขและความผ่อนคลายที่มากขึ้น
อีกหนึ่งประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการรับประทานอาหาร ก็คือ การรับประทานพริกทำให้ร่างกายถูกกระตุ้นให้เกิดความอยากอาหารมากขึ้น ต่อมน้ำลายจะทำงานมากขึ้นกว่าปกติ และกระตุ้นปลายประสาทให้สมองส่วนกลางรับรู้ถึงความอยากอาหาร จนทำให้สามารถที่จะรับประทานอาหารได้มากกว่าเดิม เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ป่วยเป็นโรคต่างๆที่ไม่อยากอาหารการรับประทานอาหาร การเพิ่มีรสชาติให้เผ็ดขึ้นมาเล็กน้อยก็จะสามารถช่วยแก้ปัญหานี้ได้
ถึงแม้ว่าการรับประทานพริกจะมีประโยชน์มากมายตามที่กล่าวไว้ข้างต้น แต่ก็ต้องอย่าลืมว่าการรับประทานพริกก็อาจจะเกิดอันตรายต่อร่างกายได้เช่นเดียวกัน เนื่องมาจากพริกนั้นมีความเผ็ดร้อน จนอาจจะทำให้เกิดความระคายเคืองในกระเพาะอาหารได้ หากมีการรับประทานในปริมาณที่มากเกินไป การรับประทานที่ไม่เหมาะสมอาจจะทำให้เกิดเป็นแผลในกระเพาะอาหาร ที่สำคัญไม่ควรรับประทานพริกในขณะที่ท้องว่างโดยเด็ดขาด เพราะจะยิ่งทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นแผลในกระเพาะอาหารที่มากขึ้น
แม้ความเผ็ดของพริกจะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก แต่ก็ต้องไม่ลืมที่จะรับประทานพริกให้ถูกเวลาและถูกวิธีด้วยนะคะ แล้วคุณก็จะได้รับประโยชน์จากพริกไปแบบเต็มๆเลยล่ะ