ตับแข็งได้แม้ไม่ดื่มเหล้า
หลายคนรู้ดีว่าการดื่มสุราเป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อร่างกาย อาจก่อให้เกิดอันตรายต่ออวัยวะสำคัญอย่างตับได้ คนที่มีการดื่มเหล้ามากๆจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคตับแข็ง ซึ่งถือเป็นโรคภาวะตับเรื้อรังขั้นสุดท้าย ที่หากมีการอักเสบเรื้อรังก็จะทำให้ตับสูญเสียเนื้อเซลล์ และทำให้โครงสร้างของตับเปลี่ยนไปจนไม่สามารถทำงานตามปกติได้อีก
แต่หากคุณคิดว่าอาการตับแข็งเกิดขึ้นจากการดื่มแอลกอฮอล์อย่างเดียวก็ถือว่าเป็นความคิดที่ผิด เพราะในความเป็นจริงแล้วอาการตับแข็งยังสามารถเกิดจากสาเหตุอื่นๆที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เลยสักนิด ซึ่งนั่นก็คือ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ซึ่งเป็นการติดเชื้อจากมนุษย์สู่มนุษย์ รวมไปถึงโรคพันธุกรรมอื่นๆที่เกิดจากการถ่ายทอดจากพ่อแม่ที่จะทำให้คนเป็นลูกหลานมีโอกาสเกิดภาวะตับแข็งได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคตับแข็งได้
ดังนั้น คุณจึงควรสังเกตอาการของโรค เพื่อให้รู้ว่าเรามีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคตับแข็งหรือไม่ เพราะหากเมื่อใดก็ตามที่เราเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้จะได้รู้จักวิธีการในการแก้ไขได้ทัน

อาการของโรคตับแข็งเป็นโรคที่ค่อนข้างสังเกตได้ยาก เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วในช่วงแรกจะแทบไม่มีอาการผิดปกติใดๆเลย หรือบางรายอาจจะมีอาการที่แสดงออกมาเพียงเล็กน้อย โดยอาการจะไม่ได้เฉพาะเจาะจงหรือระบุได้อย่างชัดเจนว่าเป็นอาการของโรคตับแข็งเสียทีเดียว อาการที่อาจจะเกิดขึ้น็ได้ เช่นอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คันตามเนื้อตามตัว ซึ่งอาจจะทำให้คุณไม่ได้นึกไว้ก่อนว่าคุณนั้นกำลังเผชิญหน้ากับโรคตับแข็งอยู่
่ แต่เมื่ออาการของตับแย่ลงเรื่อยๆ จะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆตามมามากมาย ซึ่งล้วนแต่เป็นอาการที่อันตรายและน่าเป็นห่วงมากๆ ไม่ว่าจะเป็น ดีซ่าน ท้องมาน เท้าบวม อาเจียนเป็นเลือด หรือน้ำหนักลด เป็นต้น ซึ่งเมื่อปล่อยให้เกิดช่วงอาการต่างๆนี้ ก็เป็นอาการที่ค่อนข้างหนักและรักษาได้ยากไปแล้ว
ในส่วนของโอกาสเสี่ยงที่จะทำให้เกิดภาวะตับแข็ง สิ่งสำคัญ ก็คือ การติดเชื้อไวรัสในกลุ่มของไวรัสตับอักเสบบีและไวรัสตับอักเสบซี ซึ่งมักจะเกิดขึ้นจากการที่คุณมีการเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ และขาดการป้องกันโรค นอกจากนี้ อาจจะเกิดขึ้นจากการที่คุณเสพสารเสพติดบางชนิด ที่จำเป็นจะต้องมีการฉีดยาเข้าเส้น หากคุณมีการใช้เข็มฉีดยาร่วมกันกับคนที่มีเชื้อไวรัสตัวนี้ ก็มีโอกาสให้เกิดการติดเชื้อจากกันและกันได้
หรือหากคุณมีประวัติของคนในครอบครัวเป็นโรคตับแข็งจากโรคไวรัสตับอักเสบบี ก็สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากแม่สู่ลูกได้เช่นเดียวกัน
สำหรับวิธีการในการรักษาโรคตับแข็ง สิ่งแรกเลยก็คือ จะต้องหาให้ได้ก่อนว่าสาเหตุของอาการตับแข็งนั้นเกิดขึ้นจากอะไร เพื่อที่จะได้รักษาให้ตรงตามสาเหตุใด หากเป็นการติดเชื้อจากเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือวรัสตับอักเสบซีก็จะต้องมีการให้ยาต้านเชื้อไวรัสนั้นๆ รวมไปถึงการรักษาด้วยวิธีการอื่นซึ่งต้องทำให้ตรงกับสาเหตุที่เกิดโรค
นอกจากนี้ ก็ต้องพิจารณาถึงภาวะแทรกซ้อนต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นหากเกิดอาการของตับแข็ง อาจจะเป็นการส่องกล้องเพื่อดูหลอดเลือดขอดที่อยู่ในหลอดอาหารหรือกระเพาะอาหาร รวมไปถึงการอัลตราซาวด์ช่องท้องก็เป็นไปได้เช่นกัน

วิธีการป้องกันที่ดีที่สุดจึงเป็นการพยายามป้องกันสาเหตุที่อาจจะทำให้เกิดโรค ไม่ว่าจะเป็น การได้รับวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสตับอักเสบเอและเชื้อไวรัสตับอักเสบบี รวมไปถึงการคัดกรองมะเร็งตับในผู้ที่มีภาวะเสี่ยง ก็จะช่วยทำให้อาการของโรคตับแข็งเกิดขึ้นได้ยากกว่าเดิม
สำหรับใครที่มีอาการของการตับแข็งจะต้องมีการดูแลตัวเองอย่างดี หากคุณต้องการที่จะออกกำลังกาย จำเป็นที่ต้องเป็นการออกกำลังกายแบบเบาๆ เพราะการใช้แรงในการออกกำลังกายที่มากเกินไป อาจจะทำให้ความดันในช่องท้องสูงขึ้น และทำให้เส้นเลือดขอดแตกได้
รวมไปถึงจะต้องมีการดูแลภาวะโภชนาการอย่างพิเศษ การรับประทานอาหารอาจจะต้องแบ่งเป็นการรับประทานหลายมื้อ และรับประทานครั้งละน้อยๆ ที่สำคัญ…ต้องมีการควบคุมปริมาณโซเดียมต่อวัน และมีการกำหนดปริมาณโปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่เหมาะสม
สุดท้ายโรคตับแข็งในอดีตอาจจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ยกเว้นกันปลูกถ่ายตับ แต่ในปัจจุบันเราสามารถที่จะกระตุ้นให้ตับที่เสียหายออกไปจากร่างกาย และทำให้การทำงานของตับดีขึ้นได้ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆที่วิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ค้นพบ ซึ่งจะช่วยรักษาและเปลี่ยนชีวิตใหม่ให้ผู้ป่วยตับแข็งได้กลับมามีความสุขอีกครั้งหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม คุณยังคงจะต้องมีการรักษาและดูแลสภาพของตับให้เป็นอย่างดี เพราะอวัยวะส่วนนี้มีความสำคัญกับคุณมากมายจริงๆ ถึงแม้ว่าในวันนี้คุณยังไม่พบปัญหาเกี่ยวกับตับแต่อย่างใด แต่ก็ต้องไม่นิ่งนอนใจและพยายามตรวจสุขภาพของตัวเองเป็นประจำอยู่เสมอ เพื่อคอยสอดส่องดูแลตับรวมถึงอวัยวะภายในร่างกายอื่นๆอยู่เสมอ เพื่อให้เราสามารถที่จะรับมือกับโรคภัยต่างๆได้ทันหากเกิดเรื่องร้ายแรงเกี่ยวกับร่างกายของเรา