วิธีเอาเพลงออกจากหู
หลายๆครั้งที่เรามักจะมีอาการๆหนึ่งที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ เวลาที่เรามีการรับฟังเพลงๆหนึ่งแล้วติดเนื้อเพลงนั้นๆอยู่ในหู จนทำให้เราไม่สามารถที่จะแกะมันออกไปได้ เนื้อเพลงเหล่านั้นยังคงวนเวียนและหลอกหลอน จนทำให้เราได้ยินเสียงเพลงนั้นวนเวียนตลอดทั้งวัน อาการเช่นนี้ทำให้เรารู้สึกรำคาญใจ และอยากที่จะเอามันออกไปให้ได้โดยเร็วที่สุด
แล้วจะต้องทำอย่างไรที่จะทำให้อาการที่ว่านี้หายไปได้อย่างรวดเร็วและง่ายที่สุด เพื่อกำจัดความรำคาญจากเสียงเพลงที่ดังซ้ำๆในหัว วันนี้เรามีวิธีดีๆมาบอกกันค่ะ
อาการที่เรากล่าวไปข้างต้น มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “Earworm (เอียร์เวิร์ม)” หรือมีชื่ออย่างเป็นทางการ คือ Involuntary Musical Imagery (INMI) ซึ่งนั่นก็คือ อาการเพลงหลอนอยู่ในหัว ติดหู จนร้องวนๆท่อนเพลงเดิมๆ ไปทั้งวัน และไม่สามารถเอาออกได้ในชั่วขณะหนึ่ง ทั้งนี้ ไม่จำเป็นเลยว่าเพลงที่ติดหูของเราจะต้องเป็นเพลงที่เราชื่นชอบหรือร้องบ่อย ๆ เสมอไป อาจจะเป็นเพลงทั่วไปที่เราบังเอิญได้ยินบ่อยๆ ก็สามารถเกินอาการนี้ได้ทั้งสิ้น
อาการเพลงหลอนเป็นอาการที่เคยถูกตีพิมพ์ในวารสาร Psychology of Aesthetics, Creativity and the Art ซึ่งมีการอธิบายรายละเอียดของความผิดปกตินี้ไว้ว่า ลักษณะของเพลงที่มักจะทำให้เกิดภาวะ Earworm อยู่บ่อยๆ มักจะเป็นเพลงในแนวป๊อป มีจังหวะของเพลงค่อนข้างเร็ว หรือมีเมโลดี้ที่จำง่าย และที่สำคัญมักจะมีเนื้อเพลงที่ร้องซ้ำๆ หลายๆครั้ง จึงส่งผลให้สมองเลือกที่จะจดจำเนื้อเพลงและทำนองเพลงที่ได้ยินบ่อยๆแบบนี้ นำมาคิดซ้ำๆ วนเวียนไปเรื่อยๆอยู่ในหัวสมอง จนกระทั่งเพลงๆนั้นติดหูเราในที่สุดนั่นเอง

นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังได้มีการทำการทดลองกับกลุ่มอาสาสมัครกว่า 3,000 คน โดยได้ทดลองนำเอาเพลงฮิตติดชาร์ต และเพลงที่ก่อให้เกิดอาการเพลงติดหู ประมาณ 100 เพลงมาเปิดให้อาสาสมัครฟัง โดยไม่ได้มีการบอกชื่อเพลงกับผู้ทดสอบว่าแต่ละเพลงมีชื่อว่าอะไร เพื่อค้นหาว่าเพลงประเภทใดที่จะก่อให้เกิดอาการเพลงติดหูได้มากกว่า
จากการทดลองดังกล่าว ผลพบว่าเพลงที่จะทำให้ติดหูคนฟังมากที่สุดมักจะเป็นเพลงที่มีลักษณะของเพลงคล้าย ๆ กัน ดังต่อไปนี้
1) เริ่มต้นเพลงด้วยจังหวะเร็ว
2) ในเนื้อเพลงมีคำร้องท่อนแรกเป็นโน้ตสูง
3) ในเนื้อเพลงมีคำร้องท่อนต่อมาจะเป็นโน้ตต่ำ
ตัวอย่างของเพลงที่มีโอกาสที่จะทำให้เกิดอาการดังกล่าว เช่น เพลง Bad Romance ของเลดี้ กาก้า หรือเพลง Move Like Jagger ของวง Maroon 5 ทั้งนี้ จะเห็นว่าเพลงทั้งสองนี้จะมีลักษณะคล้ายๆกัน ก็คือ เป็นเพลงที่มีท่อนโซโล่ซ้ำๆหลายๆรอบจนกว่าจะเข้าเนื้อเพลง
ทั้งนี้ อาการ Earworm อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน โดยคนที่มีโอกาสเกิดอาการนี้มักจะเป็นคนที่ชอบฟังเพลง เสพติดการฟังวิทยุ และใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตประจำวันในการฟังดนตรีจากช่องทางความบันเทิงต่างๆ ดังนั้น จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้กลุ่มคนกลุ่มนี้มีอาการเพลงติดหูได้มากกว่ากลุ่มคนอื่น ๆนั่นเอง

นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยอื่น ๆ ที่เคยศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับอาการ Earworm ซึ่งพบว่ามีประเด็นเพิ่มเติมในรายงาน ว่าอาการ Earworm สามารถเกิดขึ้นได้บ่อยๆกับกลุ่มคนที่มีความสามารถในการจดจำที่ดี หรือในบางครั้งก็อาจจะเกิดขึ้นกับกลุ่มคนที่ชอบมีอาการย้ำคิดย้ำทำหรือมีจิตใจอ่อนไหวง่าย ซึ่งเป็นปัจจัยดังกล่าวนี้ล้วนแต่จะเอื้อให้เกิดอาการนี้มากกว่าคนปกติทั่วไป
อาการ Earworm หรือการที่มีเพลงติดในหูในแต่ละบุคคลจะมีระยะเวลาการเกิดแตกต่างกันออกไป บางท่านอาจจะเกิดอาการนี้เพียงแค่ 1-2 ชั่วโมง ในช่วงที่สมองว่าง ๆ พอเวลาผ่านพ้นอาการก็หายไป ในขณะที่บางคนอาจจะเกิดอาการดังกล่าวนานเป็นวันหรือหลายๆวันก็ได้ ยิ่งคิดถึงมันมากเท่าไหร่ก็ยิ่งยากจะเอามันออกจากหัวมากเท่านั้น
แม้ว่าอาการดังกล่าวจะไม่ใช่โรคหรือความผิดปกติทางร่างกายใดๆ แต่สำหรับใครที่ต้องการที่จะกำจัดอาการนี้ออกไปจากหู เพราะไม่ต้องการให้สิ่งต่างๆเหล่านี้สร้างความน่ารำคาญใจให้แก่เราอีกต่อไป ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
1. หากิจกรรมอื่นๆทำแทน เช่น การเคี้ยวหมากฝรั่ง เป็นต้น
2. หากอาการเพลงติดในหูเกิดกับท่อนเพลงท่อนเดียวที่วนซ้ำไปซ้ำมา ก็พยายามฟังเพลงหรือร้องเพลงนั้นๆออกมาให้จบเพลงไปเลย เพราะเป็นไปได้ว่าการที่เราเกิดอาการนี้ อาจจะเป็นเพราะเราไม่เคยฟังเพลงท่อนอื่นๆ หากได้ฟังท่อนที่เหลือจะมีส่วนช่วยให้อาการ Earworm หายไปได้
3. พยายามหาเพื่อนคุย เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากสิ่งเดิมๆ
4. หลีกเลี่ยงการฟังเพลงในช่วงเวลาก่อนเข้านอน หรือเวลาที่สมองว่างๆ
5. หลีกเลี่ยงการฟังเพลงเดิมที่วนซ้ำไปซ้ำมา
โดยส่วนใหญ่แล้วอาการ Earworm จะไม่ได้เกิดขึ้นกับเราตลอดไป หากมีสิ่งอื่นๆที่น่าสนใจมากกว่า หรือมีเรื่องให้สมองต้องคิด ไตร่ตรอง หรือใช้สมองอย่างจริงจัง เพลงที่เคยติดอยู่ในหูก็จะหายไปและอาจจะไม่วนเวียนกลับมาหาคุณอีกเลย
การสลัดเนื้อเพลงท่อนนั้นออกจากหัวสามารถทำได้เพียงแค่คุณหยุดคิดถึงมันแล้วหันไปทำกิจกรรมอื่นๆที่ต้องใช้สมองมากขึ้น ก็ช่วยให้อาการเหล่านี้หายไปได้แล้ว ไม่ต้องกังวลอะไรเลยค่ะ