กะหล่ำปลีถือเป็นผักที่คนไทยคุ้นเคยและนิยมรับประทานกันมานาน ซึ่งนอกจากความอร่อยแล้วกะหล่ำปลียังเป็นผักเต็มไปด้วยใยอาหารที่ช่วยในด้านการทำงานของระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย รวมทั้งมีวิตามินเอ วิตามินบี 2 วิตามินอี โฟเลต เบต้าแคโรทีน เหล็ก โพแทสเซียม แมกนีเซียม และที่สำคัญคือวิตามินซีที่มีอยู่ในปริมาณสูง โดยวิตามินซีมีส่วนช่วยในการป้องกันมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ในเพศชายและมะเร็งรังไข่หรือมะเร็งเต้านมในเพศหญิง นอกจากนี้ในกะหล่ำปลียังมีกรดทาร์ทาริกที่ช่วยยังยั้งไม่ให้คาร์โบไฮเดรตอย่างแป้งและน้ำตาลแปลงสภาพกลายเป็นไขมันและสะสมภายในร่างกาย จนเป็นสาเหตุให้เกิดโรคอ้วนหรือโรคร้ายอื่นๆตามมา
ภาพจาก : http://healthylivingguy.com/blog/4-reasons-why-you-should-eat-cabbage/
รูปแบบการรับประทานกะหล่ำปลีมีผลอย่างมากต่อประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ โดยหากเรารับประทานกะหล่ำปลีในรูปแบบดิบๆที่ยังไม่ผ่านกระบวนการให้ความร้อน อาจทำให้ได้โทษมากกว่าประโยชน์ก็เป็นได้ เนื่องมาจากในกะหล่ำปลีดิบจะมีสารชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า ?กอยโตรเจน (Goitrogen)? สารตัวนี้จะมีผลไปทำลายหรือขัดขวางไม่ให้ดูดซึมสารที่มีประโยชน์เข้าสู่ร่างกาย รวมถึงจะไปขัดขวางการสร้างฮอร์โมนในต่อมไทรอยด์ไม่ให้จับกับไอโอดีนเพื่อนำไปสร้างเป็น Thyroscine ทำให้ร่างกายนำไอโอดีนในเลือดไปใช้ได้น้อยกว่าปรกติ ดังนั้นหากรับประทานกะหล่ำปลีดิบเป็นประจำจะส่งผลทำให้เกิดโรคคอหอยพอกได้ อย่างไรก็ตาม สาร Goitrogen ชนิดจะถูกทำลายให้หมดไปได้โดยการผ่านกระบวกการทำให้สุกด้วยความร้อน
สารที่ชื่อ (Goitrogen) ตัวนี้พบได้มากในผักดิบที่ไม่ใช่เพียงแค่กะหล่ำปลี แต่ยังพบได้ในหัวผักกาด บรอกโคลี ถั่วต่างๆ และพืชตระกูลหัวหอม ดังนั้นการรับประทานผักในกลุ่มนี้ควรจะทำให้สุกเสียก่อนการรับประทานเพื่อความปลอดภัยต่อร่างกาย
จะเห็นได้ว่าอาหารทุกชนิดมีทั้งประโยชน์และโทษ หากเรารู้จักรับประทานในปริมาณหรือวิธีการที่ถูกต้อง ก็จะทำให้เราได้รับประโยชน์จากพืชผักหรืออาหารเหล่านั้นอย่างเต็มเปี่ยม แต่หากเราขาดความรู้ ความเข้าใจในธรรมชาติของอาหารนั้นๆแล้ว อาจจะทำให้เราเข้าใจผิดและทำให้ได้รับอันตรายแบบที่ไม่ทันตั้งตัวก็เป็นได้