การดูแลสุขภาพ, บทความน่ารู้, บทความสุขภาพ, เกี่ยวกับโรค

ลูคีเมีย รู้ก่อนหายได้

ลูคีเมีย รู้ก่อนหายได้

 

เป็นที่รู้ดีอยู่ว่าโรคร้ายที่คร่าชีวิตของมนุษย์ที่สำคัญโรคหนึ่ง ก็คือ โรคมะเร็ง หากใครที่ป่วยเป็นโรคนี้ อวัยวะหลายๆส่วนในร่างกายก็จะถูกทำลาย ทำให้ไม่สามารถที่จะทำงานได้ตามปกติ และหากไม่เร่งลงมือเข้ารับการรักษา ก็จะทำให้คุณเสี่ยงต่อการเสียชีวิต หรืออาจจะต้องตัดอวัยวะบางส่วนทิ้งไป เพื่อรักษาให้ชีวิตอยู่รอดต่อไปได้

ที่สำคัญโรคที่ว่านี้ยังต้องผ่านการรักษาด้วยการใช้เคมีบำบัด ซึ่งสร้างความเจ็บปวดทุกข์ทรมานจนไม่มีใครอยากที่จะพบเจอมัน

หนึ่งในโรคมะเร็งที่ทำให้คนต้องเสียชีวิตในปริมาณมาก ก็คือ โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือ โรคลูคีเมีย ซึ่งจะเป็นภาวะที่ไขกระดูกหรือเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตทำงานผิดปกติ จนทำให้การผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวผลิตออกมาผิดปกติในจำนวนมาก และเกิดความไม่สมดุลกับเม็ดเลือดค่างๆในร่างกาย จึงส่งผลทำให้ระบบการทำงานของเม็ดเลือดในร่างกายมีความผิดปกติ

โรคลูคีเมีย เป็นโรคที่ไม่ได้มีการถ่ายทอดทางพันธุกรรม แต่สามารถที่จะแบ่งโรคนี้ออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ก็คือ 1) โรคชนิดเรื้อรัง โรคลูคีเมียรูปแบบนี้อาการจะค่อยๆแสดงความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ กับอีกแบบหนึ่งคือ 2) โรคลูคีเมียแบบเฉียบพลัน ซึ่งจะมีความรุนแรงมากกว่า และจำเป็นต้องรีบเข้ารับการรักษาโดยเร็ว

ลูคีเมีย รู้ก่อนหายได้ — ภาพจาก : https://www.cancercenter.com/community/blog/2018/05/whats-the-difference-blood-cancers-leukemia-lymphoma-and-multiple-myeloma

ผู้ที่ป่วยเป็นโรคลูคีเมียโดยส่วนใหญ่จะมีอาการที่คล้ายๆกันตรงที่จะเริ่มมีไข้ติดต่อกันหลายๆวัน ผิวซีด น้ำหนักลด เบื่ออาหาร ต่อมน้ำเหลืองโต และมีจุดเลือดออกเป็นจ้ำๆตามตัว รวมไปถึงอาการปวดกระดูกท้องอืด ตับโต และม้ามโต ซึ่งความผิดปกติของอวัยวะต่างๆในร่างกายนี้เป็นเพราะความผิดปกติของเม็ดเลือดขาวนั้นเอง

ทั้งนี้ เรามีวิธีการในการสังเกตอาการเริ่มแรกของคนที่มีแนวโน้มที่จะป่วยเป็นโรคลูคีเมียได้ดังต่อไปนี้

1 เหนื่อยง่าย

อาการเหนื่อยง่ายและซีด เป็นอาการสำคัญที่พบได้บ่อยมากในผู้ป่วยโรคนี้ เหตุผลเนื่องมาจากไขกระดูกไม่สามารถที่จะสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง เพื่อนำไปลำเลียงออกซิเจนได้ตามปกติ จึงทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเหนื่อยง่าย และมีอาการซีดนั่นเอง

2 เลือดออกง่าย

เหตุผลเนื่องมาจากผู้ป่วยจะมีเกล็ดเลือดต่ำ เพราะไขกระดูกสร้างออกมาได้น้อย ทำให้มีจุดเลือดออกตามบริเวณผิวหนัง แขน ขา ไรฟัน เลือดกำเดาไหล หรือมีประจำเดือนออกมามาก หากมีเลือดออกในจอประสาทตาก็จะทำให้ตามัว หรือหากมีเลือดออกในสมองก็อาจจะทำให้เสียชีวิตได้

3 น้ำหนักลด

ผู้ป่วยโรคลูคีเมียส่วนใหญ่จะมีอาการน้ำหนักลดได้สูงมากถึงร้อยละ 70 ของผู้ป่วยทั้งหมด ดังนั้น หากใครที่น้ำหนักลดลงอย่างไม่ทราบสาเหตุต้องระมัดระวังในเรื่องความผิดปกติของเซลล์เม็ดเลือดไว้ด้วย

4 อาการปวดตามกระดูกหรือข้อ

สำหรับอาการนี้จะพบได้น้อยในระยะแรก แต่จะพบได้บ่อยมากขึ้นเมื่อโรคมีการลุกลามในระยะหลังแล้ว ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีความทุกข์ทรมานกับอาการดังกล่าวอย่างมาก

5 อาการทางสมอง

อาการดังกล่าวนี้จะเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต และจะเกิดอาการทางสมองได้เฉลี่ยร้อยละ 10 ถึง 30 ซึ่งผู้ป่วยมักจะมีอาการปวดศีรษะ อาเจียน คอแข็ง และเป็นอัมพาตของเส้นประสาท

สำหรับคนที่กล่าวได้ว่าเป็นโรคลูคีเมีย จะมีเกณฑ์วินิจฉัยสำคัญก็คือ จะต้องตรวจพบเซลล์เม็ดเลือดขาวในไขกระดูกอย่างน้อยร้อยละ 30 ของเซลล์ทั้งหมด ซึ่งวิธีในการรักษาจะต้องพิจารณาถึงอาการที่ผู้ป่วยเป็น ไม่ว่าจะเป็น ‘การรักษาแบบประคับประคอง’ โดยอาจจะเป็นการให้เลือด ให้เกล็ดเลือดเข้มข้น หรือหากมีการติดเชื้อแพทย์จะมีการพิจารณาการใช้ยาปฏิชีวนะ รวมไปถึงอาจจะมีการพิจารณาการแยกส่วนประกอบของเลือดโดยเฉพาะเม็ดเลือดขาวออกมา

อีกหนึ่งวิธีการในการรักษาคือ ‘การรักษาแบบเฉพาะโรค’ ซึ่งก็จะเป็นการให้ยาเคมีบำบัด เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าสู่ระยะโรคสงบสมบูรณ์ และเป็นการป้องกันไม่ให้โรคกลับมาเป็นอีก เพื่อกำจัดเซลล์มะเร็งที่ยังคงเหลือค้างอยู่ให้หมดไปจากร่างกาย ทั้งนี้ การให้ยาเคมีบำบัดในขนาดสูงอาจจะทำร่วมไปกับการฉายรังสี ตามด้วยการให้เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด ซึ่งโดยทั่วไปแล้วหากได้รับเซลล์จากผู้อื่น อาจจะทำให้เกิดปัญหาแทรกซ้อนมากกว่า แต่ก็มีผลในอัตราของการที่ทำให้โรคกลับมาเป็นใหม่น้อยกว่า เมื่อเทียบกับการใช้เซลล์ต้นกำเนิดของตัวเอง

นอกเหนือจากการใช้ยาเคมีบำบัดในการทำลายเซลล์ที่ผิดปกติแล้ว คนไข้ต้องระมัดระวังอย่างยิ่งในเรื่องของการติดเชื้อ ไม่ว่าจะเป็น โรคอีสุกอีใส หรือโรคิดเชื้อใดๆ เพราะหากมีการติดเชื้อเกิดขึ้นจะทำให้อาการมีความทวีความรุนแรงมากกว่าผู้ที่ไม่ได้รับยาเคมีบำบัด

โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวถือเป็นโรคที่ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่หากสิ่งที่ไม่คาดฝันนั้นเกิดขึ้นกับคุณก็จำเป็นที่จะต้องเตรียมตัวรับมือ เตรียมความพร้อมให้ดี และเตรียมที่จะรับความเสี่ยงในเรื่องต่างๆที่จะเป็นผลพวงมาจากโรคร้ายนี้ อีกทั้ง กำลังใจยังเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ป่วยต้องการได้รับ หากขาดสิ่งนี้ไปอาจจะทำให้โรคร้ายทำลายร่างกายได้มากกว่าเดิม

การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ แต่หากคุณสามารถรับรู้ถึงโอกาสในการเกิดโรคได้ ก็ย่อมจะเป็นสิ่งที่ดีกว่า เพราะยิ่งรู้ถึงความผิดปกติได้เร็วมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งแก้ไขได้เร็วมากเท่านั้น

Enjoy this blog? Please spread the word :)

Exit mobile version