เมื่อ ‘กระท่อม’ ไม่ใช่ยาเสพติดอีกต่อไป
หลายคนคงเคยรู้จักพืชกระท่อมในนามของหนึ่งในยาเสพติดที่ให้โทษต่อร่างกาย เป็นยาเสพติดต้องห้ามที่ไม่ถูกกฎหมาย และหากใครเสพหรือขายจำเป็นต้องได้รับโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่ในปัจจุบัน…พืชชนิดนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะถูกถอดออกจากการเป็นยาเสพติดและเปลี่ยนให้เป็นพืชที่สามารถปลูกได้แบบถูกต้องตามกฎหมายแล้ว แถมสรรพคุณของกระท่อมยังสามารถที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายได้มากมายหากรู้จักวิธีการใช้อย่างถูกต้องและใช้ในปริมาณที่เหมาะสม
เหตุใดพืชชนิดนี้จึงถูกถอดให้ออกจากการเป็นยาเสพติดให้โทษตามพระราชบัญญัติของยาเสพติดให้โทษฉบับที่ 8 พ.ศ 2554 และคนไทยสามารถใช้ประโยชน์จากพืชกระท่อมได้ในแง่มุมใดบ้าง ให้ยังคงอยู่ภายใต้ข้อกำหนดที่ถูกต้องตามกฎหมาย ลองมาหาความรู้เพิ่มเติมกันได้เลยค่ะ
ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2554 เป็นต้นไป ประชาชนสามารถที่จะปลูกและบริโภคกระท่อมตามวิถีของชาวบ้าน หรือการซื้อขายใบกระท่อมได้โดยไม่ผิดกฎหมาย เนื่องมาจากพืชชนิดนี้ถูกถอดให้ออกจากการเป็นยาเสพติดให้โทษแล้ว รวมถึงหากใครเคยมีการกระทำความผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพืชกระท่อม ก็จะถือว่าไม่เคยทำความผิดมาก่อนด้วยเช่นกัน ซึ่งผู้ที่ได้รับโทษมาก่อน กรมราชทัณฑ์ก็จะเตรียมปล่อยตัวผู้เคยกระทำผิดให้พ้นโทษ เพื่อคืนอิสรภาพให้กลับคืนมาอีกครั้ง แต่ในรายที่กระทำความผิดร่วมกับคดีอื่นๆและยังอยู่ระหว่างการพิจารณาคดี ก็จะยังอยู่ในกระบวนการพิจารณาคดีต่อไป
ซึ่งเหตุผลที่พืชชนิดนี้ถูกปลดออกจากการเป็นยาเสพติดให้โทษ เนื่องมาจากได้มีการพิจารณาว่าพืชชนิดนี้น่าจะก่อให้เกิดประโยชน์ได้ดี หากมีการนำมาใช้ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมนั่นเอง

ทั้งนี้ ในสมัยโบราณก็มีการนำใบกระท่อมมาใช้ในการรักษาโรคหลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การรักษาการติดเชื้อในลำไส้ ช่วยแก้อาการท้องเสียหรือท้องร่วง รวมไปถึงการบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ และแก้ไอ ซึ่งวิธีการใช้ก็สามารถใช้ได้ทั้งใบสดและแห้ง โดยนำใบมาเคี้ยว สูบ ชงชา หรือนำใบมาย่างให้เกรียมและตำผสมกับน้ำพริกเพื่อรับประทานเป็นอาหาร รูปแบบใดก็ได้ตามสะดวก
กระท่อมในประเทศไทยมีการนำมาใช้เป็นยาแก้โรคทางเดินอาหาร บางพื้นที่นำไปใช้เพื่อบรรเทาโรคเบาหวาน และเป็นที่นิยมของกลุ่มผู้ใช้แรงงานและเกษตรกรเป็นอย่างมาก เพราะการใช้ใบกระท่อมจะช่วยให้สามารถทำงานทนตากแดดอยู่กลางแจ้งได้เป็นเวลานานโดยไม่รู้สึกเหนื่อย เพราะกระท่อมสามารถกดความรู้สึกเหนื่อยและเพิ่มระยะเวลาในการทำงานให้ยาวมากขึ้นได้
โดยจากการศึกษาทางเภสัชวิทยาพบว่า สารที่อยู่ในกระท่อมโดยส่วนใหญ่แล้วเป็นสารกลุ่มอัลคาลอยด์ ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ในเชิงเภสัชวิทยาต่อหลายระบบ และถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคอย่างกว้างขวาง
สารสำคัญในกระท่อม คือ ไมทราไจนีน (mitragynine) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยออกฤทธิ์บรรเทาอาการปวดและต้านการอักเสบ ที่สำคัญยังมีอีกหนึ่งสาร คือ 7-hydroxymitragynine ที่มีฤทธิ์ในการระงับปวดคล้ายๆกับมอร์ฟีน แต่มีความแรงที่น้อยกว่า และไม่กดระบบทางเดินหายใจ จึงทำให้ไม่เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือทำให้การบริโภคกระท่อมในปริมาณน้อยๆสามารถที่จะกระตุ้นให้ร่างกายลดอาการเมื่อยล้า และเพิ่มระยะเวลาการทำงานได้นานมากขึ้น
แต่หากคุณใช้ในปริมาณสูง อาจจะทำให้เกิดอาการเสพติด ท้องผูก นอนไม่หลับ คลื่นไส้ อาเจียน ยิ่งหากบางรายเสพติดมากๆจะอาจเกิดเป็นอาการแขนกระตุก ซึมเศร้า ก้าวร้าว หรือมีอาการทางจิตได้เลย
จะเห็นได้ว่ากระท่อมมีคุณประโยชน์ที่มากมายหากมีการใช้ในปริมาณที่เหมาะสมและนำไปใช้อย่างถูกวิธี ซึ่งในปัจจุบันมีมติจากณะรัฐมนตรีประกาศออกมาว่า มาตรการการควบคุมและกำกับดูแลกำหนดให้มีการปลูกพืชกระท่อม การขาย และนำเข้าเพื่อประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรม จะต้องมีการได้รับใบอนุญาตและกำหนดอายุของใบอนุญาต ส่วนผู้ขอรับใบอนุญาตจะต้องเป็นบุคคลธรรมดาที่มีสัญชาติไทย และมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย โดยต้องไม่เคยเป็นผู้ถูกถอนใบอนุญาตหรืออยู่ระหว่างการถูกพักใช้ใบอนุญาต
นอกจากนี้ การปลูกพืชกระท่อมจะต้องปลูกในพื้นที่ที่ได้รับการอนุญาตตามพิกัดที่ระบุเอาไว้ รวมทั้งมีป้ายแสดงว่าเป็นสถานที่ขาย นำเข้า หรือส่งออกใบกระท่อม รวมทั้งจัดให้มีฉลากและเอกสารประกอบกำกับใบกระท่อม โดยมีการระบุแหล่งที่ปลูก คำเตือน และข้อระมัดระวังอย่างชัดเจน
พืชกระท่อมจะมีการกำหนดปริมาณการใช้เอาไว้ในกฎกระทรวง หากทำโดยไม่มีใบอนุญาตอาจจำเป็นจะถูกต้องโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับได้
และถึงแม้หลังจากนี้กระท่อมจะไม่ใช่ยาเสพติดอีกต่อไป แต่อีกไม่นานทางรัฐบาลก็จะมีกฎหมายอื่นๆ ออกมาเพื่อกำกับพืชชนิดนี้ ซึ่งคล้ายๆ กับกรณีของกัญชาได้รับการปลดล็อคก่อนหน้านี้ และกัญชาก็จะมีกฎกระทรวงสาธารณสุขและกฎหมายอื่นๆ ระบุให้ใช้ได้เพียงบางส่วน หรือให้ใช้เพื่อทางการแพทย์เท่านั้น
แม้ว่าในปัจจุบันพืชกระท่อมจะกลายเป็นพืชที่ได้รับการอนุญาตในประเทศไทยแล้ว แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าพืชชนิดนี้ยังคงมีทั้งคุณและโทษที่จำเป็นจะต้องเรียนรู้วิธีการในการใช้ให้ถูกต้องเหมาะสม เพื่อให้ได้รับประโยชน์ที่ถูกต้องและแท้จริง และไม่เป็นการเสพติดจนกลายเป็นเหตุร้ายที่รุนแรงต่อร่างกายและสุขภาพได้