อาหารญี่ปุ่นได้ชื่อว่าเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศทั่วโลก เพราะด้วยวัตถุดิบที่เลือกนำมาใช้ในการประกอบอาหาร มักจะเป็นวัตถุดิบที่จำเป็นต้องมีความสดใหม่อยู่เสมอ และไม่ผ่านกระบวนการให้ความร้อนที่จะทำให้สารอาหารบางอย่างที่มีประโยชน์สูญเสียไป ซึ่งหนึ่งในอาหารญี่ปุ่นที่คนไทยส่วนใหญ่ติดใจ และถือเป็นส่วนประกอบหลักที่สำคัญในเมนูอาหารญี่ปุ่น ก็คงจะหนีไม่พ้น “ปลาดิบ” นั่นเอง

เชื่อว่าคนไทยทุกคน คงจะคุ้นเคยกับปลาดิบเป็นอย่างดี เพราะอาหารชนิดนี้ถูกนำเข้ามาเผยแพร่จากดินแดนอาทิตย์อุทัยมาหลายสิบปีแล้ว และเนื่องด้วยด้วยรูปลักษณ์ที่แปลกใหม่ ประกอบกับรสชาติอันเอร็ดอร่อย และวัฒนธรรมอันมีเอกลักษณ์ จึงทำให้อาหารญี่ปุ่นชนิดนี้ เข้าไปอยู่ในใจใครหลายๆคนได้อย่างไม่ยากเลย
จะเห็นได้ว่า ความนิยมในการรับประทานปลาดิบมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง สังเกตได้จากร้านอาหารญี่ปุ่นที่สามารถพบได้ในทุกๆที่ ด้วยเหตุนี้เองจึงอาจมีผลทำให้คุณภาพของวัตถุดิบมีการลดลงหรือเปลี่ยนแปลงไป เนื่องมาจากต้องมีการแข่งขันกันในเชิงการค้า หนึ่งในวิธีที่จะช่วยให้มีกำไรมากขึ้นก็คือการลดต้นทุน ซึ่งก็อาจส่งผลกระทบในด้านคุณภาพที่เปลี่ยนแปลงไปได้นั่นเอง
การใช้ปลาดิบคุณภาพต่ำ อาจมีผลให้เราได้รับพยาธิตัวร้ายเข้าไปชอนไชในร่างกายได้ ซึ่งพยาธิที่กล่าวถึงนี้ มีชื่อว่า “อะนิซาคิส (Anisakis simplex)” พยาธิตัวนี้สามารถพบได้ในปลาทะเลหลายชนิด เช่น ปลาดาบเงิน ปลาตาหวาน ปลาสีกุน ปลาทูแขก ปลากุเลากล้วย ปลาคอด ปลาแซลมอน ปลาเฮอริ่ง ปลาลัง เป็นต้น ลักษณะของมันเป็นพยาธิตัวกลมที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ตัวโตเต็มวัยมีความยาวมาถึง 2-5 ซม. เจริญเติบโตเริ่มแรกในกระเพาะของปลาโลมา ปลาวาฬ และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลชนิดอื่นๆ ไข่ของพยาธิจะปนออกมากับอุจจาระของสัตว์เหล่านี้แล้วเจริญเติบโตเป็นตัวอ่อนอยู่ในทะเล โดยมีพาหะเป็นพวกกุ้ง ปลาน้ำเค็มตัวเล็กๆ และเมื่อสัตว์เหล่านี้ถูกกินด้วยปลาตัวอื่น พยาธิก็จะเข้าไปฝังตัวอยู่ในกล้ามเนื้อของปลาเหล่านั้น อันเป็นที่มาให้คนเราได้รับเชื้อจุลินทรีย์ชนิดนี้เข้าไปในร่างกายได้นั่นเอง
สำหรับอาการของโรคหลังจากที่พยาธิตัวนี้เข้าไปอยู่ในร่างกายมนุษย์ อาจมีอาการปวดท้องบริเวณกระเพาะอาหาร คลื่นไส้อาเจียน และอาจมีอาการคล้ายๆ ไส้ติ่งอักเสบ ซึ่งหากร่างกายสามารถขับพยาธิเหล่านี้ออกมาจากกระเพาะอาหารโดยการอาเจียนได้หมด ก็จะไม่ทำให้เกิดโรคใดๆในร่างกายมนุษย์ แต่ในกรณีที่พยาธิไม่ถูกขับออกไป พยาธิก็มีสิทธิที่จะชอนไชไปตามทางเดินอาหาร ลำไส้ และภายในช่องท้อง ซึ่งส่งผลต่อการเกิดโรคตามมา โดยบางรายอาจมีอาการถ่ายออกมาเป็นมูกเลือด เมื่อส่องกล้องเข้าไปในหลอดอาหารอาจจะพบพยาธิเจริญเติบโตอยู่ภายใน

การรักษาที่ถูกต้องที่สุด คือ การพยายามหาทางเอาตัวพยาธิออกมาจากผนังกระเพาะหรือบริเวณเนื้อเยื่อในระบบทางเดินอาหารที่พยาธิเข้าไปฝังตัวอยู่ โดยใช้วิธีการผ่าตัดเพื่อนำเอามันออกมา ซึ่งหากใครไม่อยากที่จะต้องเผชิญกับเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ ก็จำเป็นจะต้องเลือกรับประทานปลาที่มีคุณภาพดี เก็บด้วยสภาวะที่เหมาะสมที่อุณหภูมิต่ำกว่า -20 องศาเซลเซียส หรือถ้าจะให้ปลอดภัยที่สุดก็ควรรับประทานปลาที่ปรุงสุกด้วยกรรมวิธีที่ถูกต้อง ด้วยอุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 60 องศาเซลเซียส อย่างน้อย 5 นาที เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจส่งผลให้เกิดโรคร้ายๆแบบนี้ให้หมดไปได้
ส่วนใครที่ชอบที่รับประทานปลาดิบจริงๆ ก็อาจจะต้องลงทุนจ่ายเงินในราคาที่แพงขึ้นมาหน่อย เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในชีวิตให้มากขึ้น รวมถึงควรเลือกร้านค้าที่เชื่อถือได้ มีการดูแลความสะอาดและสุขอนามัยที่ดี หรืออาจใช้วิธีการสังเกตลักษณะของเนื้อปลาก่อนรับประทาน ว่ามีตัวอ่อนของพยาธิปะปนมาอยู่หรือไม่ มีสีตามที่ควรเป็นตามธรรมชาติหรือเปล่า และควรเลือกรับประทานแต่ปลาดิบที่ทำสดใหม่ หรือไม่ควรรับประทานปลาดิบที่ทำทิ้งไว้นานเกิน 2 ชั่วโมง เพราะนอกจากจะทำให้รสชาติเสียไปเนื่องจากน้ำมันที่อยู่ในปลาระเหยออกไปแล้ว ยังเสี่ยงต่อการเสื่อมเสียทั้งด้านเชื้อจุลินทรีย์และด้านสารอาหารอีกด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณทั้งสิ้น
นอกจากนี้เวลารับประทานปลาดิบก็ควรที่จะสังเกตที่ตัวเนื้อปลาให้ดีๆด้วยนะคะ ว่าสดใหม่จริงหรือป่าว มีกลิ่นผิดปกติหรือไม่ เนื้อปลามีลักษณะยุ่ยจากการเก็บที่ไม่เหมาะสมหรือป่าว หรือหากพบเห็นสิ่งแปลกปลอมบางอย่าง เช่น จุดขาวๆที่คาดว่าจะเป็นพยาธิ ก็ไม่ควรเสียดายเงินที่ซื้อมา โดยทิ้งแต่เฉพาะชิ้นที่มีการปลอมปนเท่านั้น แต่ควรหยุดรับประทานทั้งหมดโดยทันที เพราะเราไม่อาจรู้ว่าได้เลยว่าในเนื้อปลาชิ้นอื่นๆที่มาจากปลาแหล่งเดียวกันจะมีสิ่งแปลกปลอมอื่นๆปนมาอีกหรือไม่
หากคิดที่จะมีสุขภาพดีโดยการรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์แล้ว ก็ควรลงทุนเพิ่มอีกนิดโดยการเลือกซื้อวัตถุดิบที่มีคุณภาพดีขึ้นมาอีกหน่อย อย่างน้อยก็จะทำให้เรารู้สึกถึงความปลอดภัยในชีวิตที่มากกว่า และกรณีที่เราโชคร้ายติดเชื้อพยาธิขึ้นมาจริงๆ ค่ารักษาพยาบาลก็คงสูงกว่าการรับประทานอาหารคุณภาพดีขึ้นมาอีกหลายเท่าตัวเลยเชียวละ