จะเกิดอะไรเมื่อไขมันพอกตับ
เป็นที่รู้ดีอยู่ว่า “ตับ” ถือเป็นอวัยวะสำคัญในร่างกาย ที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการสะสมพลังงาน และการทำลายของเสียบางอย่างในร่างกาย ดังนั้น ตับจึงเปรียบเสมือนกับแบตเตอรี่ของร่างกาย ที่หากดับหรือชำรุดไป ก็ย่อมส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างแน่นอน
การดูแลตับจึงกลายเป็นสิ่งที่จำเป็น และไม่ควรที่จะมองข้าม โดยเฉพาะในเรื่องของอาหารการกิน ที่หากไม่ดูแลให้ดี ก็อาจจะทำให้เกิดเป็นไขมันไปพอกอยู่ที่ตับ จนเป็นสาเหตุของการเกิดโรคร้ายที่รุนแรง และไม่ใช่เพียงแค่อาหารเท่านั้น แต่ก็ต้องระมัดระวังในเรื่องของการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะถือเป็นศัตรูที่ร้ายกาจสำหรับตับ และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการดังกล่าว
หรือแม้แต่การที่คุณพยายามลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว หรือเกิดภาวะขาดสารอาหาร ก็สามารถที่จะเป็นสาเหตุของการทำร้ายตับได้เช่นเดียวกัน
ดังนั้น จะเห็นได้ว่ามีหลากหลายเหตุผลที่เป็นสิ่งที่ทำให้ตับโดนทำร้าย หรือมีไขมันมาพอกเป็นจำนวนมาก และย่อมทำให้การใช้งานตับเป็นไปได้ไม่ดีเท่าที่เคยเป็นมา

ในบทความนี้เราจะมาเรียนรู้ถึงหนึ่งในภาวะอันตรายที่ไม่ควรที่จะทำให้เกิดกับตัวเอง นั่นก็คือ “ภาวะของไขมันพอกตับ” มาลองศึกษากันว่าภาวะนี้จะมีความอันตรายร้ายแรงต่อร่างกายมากน้อยแค่ไหน
ภาวะไขมันพอกตับ คือ การที่เรามีการสะสมของไขมันในรูปของไตรกลีเซอไรด์เป็นส่วนใหญ่อยู่ที่ตับ ซึ่งไขมันเหล่านี้เกิดมาจากการที่เรารับประทานอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป และเมื่อคาร์โบไฮเดรตถูกย่อยให้เป็นน้ำตาลและใช้ในร่างกายเรียบร้อยแล้ว น้ำตาลส่วนเกินที่ร่างกายใช้ไม่หมดจะถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมัน และเก็บเอาไว้ที่ตับนั่นเอง
โดยปกติแล้ว…มนุษย์ทุกคนจะมีการควบคุมระดับของน้ำตาลให้มากขึ้นหรือน้อยลงด้วยฮอร์โมน ‘อินซูลิน’ ซึ่งผลิตมาจากตับอ่อน แต่เมื่อใดก็ตามที่ฮอร์โมนอินซูลินไม่สามารถที่จะควบคุมปริมาณน้ำตาลได้ อย่างเหมาะสม ก็จะมีผลทำให้ตับถูกทำลายไปด้วย
ซึ่งความผิดปกตินี้อาจจะเกิดขึ้นจากภาวะการดื้ออินซูลิน ที่มีสาเหตุมาจากกรรมพันธุ์หรือจากพฤติกรรมในการรับประทานอาหารที่มีพลังงานสูงมากจนเกินไป ทั้งสองสาเหตุล้วนแต่เป็นเหตุผลที่ทำให้ร่างกายไม่สามารถตอบสนองต่ออินซูลินได้ทั้งสิ้น
การดื้อของอินซูลินเป็นเหตุผลสำคัญที่จะทำให้เกิดการไขการสะสมของไขมันที่ตับมากขึ้นเรื่อยๆ และนำไปสู่ภาวะของการมีภาวะไขมันพอกตับในที่สุด
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าในขณะนี้ตับของเรามีการพอกตัวของไขมันสูงมากน้อยแค่ไหน ?
สิ่งที่จะทำให้เราสามารถรู้ได้ ก็คือ เราจะต้องมีการเจาะเลือดเพื่อตรวจดูการทำงานของตับ ว่าตับมีค่าการอักเสบอยู่ในระดับใด มีค่าการอักเสบสูงกว่าปกติหรือไม่ ซึ่งโดยปกติทั่วไปแล้วคนที่มีภาวะไขมันพอกตับ อาจจะพบว่ามีระดับของน้ำตาลในเลือดสูงหรือระดับไขมันในเลือดสูงกว่าปกติร่วมด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ อาจจะใช้วิธีการตรวจสอบด้วยการอัลตราซาวด์บริเวณช่องท้อง เพื่อดูว่าตับมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ อีกหนึ่งวิธีการที่สามารถตรวจภาวะไขมันพอกตับได้ ก็คือ การสแกนด้วยเครื่องมือพิเศษ หรืออาจจะเป็นการตรวจความยืดหยุ่นพร้อมกับการประเมินไขมันสะสมภายในตับ เพื่อสำรวจความเสียหายของเนื้อเยื่อจากการที่มีไขมันไปเพราะอยู่ที่ตับนั่นเอง

ทั้งนี้ปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดภาวะไขมันในตับก็มีอยู่หลากหลายประการ หลักๆเลยก็จะเป็นในเรื่องของ ‘การรับประทานอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์สูงมากเกินไป’ ดังนั้น การพยายามควบคุมอาหารให้ดีจึงเป็นวิธีการสำคัญที่จะทำให้คุณหลีกหนีจากภาวะนี้ได้
อย่างไรก็ตาม การเกิดภาวะไขมันพอกตับสามารถแบ่งย่อยออกได้เป็น 4 ระยะ โดยพบว่ายิ่งมีระยะมากขึ้น ก็จะยิ่งมีความอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ
โดยหากเป็นการพอกไขมันที่ตับในระยะแรกไขมันที่สะสมอยู่ในเนื้อตับจะยังไม่มีการอักเสบหรือเกิดเป็นพังผืดขึ้น แต่หากเป็นในระยะที่ 2 ก็จะเริ่มมีการอักเสบ และหากไม่มีการดูแลอย่างดีและปล่อยให้การอักเสบดำเนินต่อไปเรื่อยๆเกินกว่า 6 เดือน ก็จะเกิดเป็นภาวะของการตับตับอักเสบเรื้อรัง ก่อนที่จะเข้าสู่ระยะที่ 3 ก็คือ การอักเสบของตับที่รุนแรงมากขึ้น จนเกิดเป็นพังผืดภายในตับหรือเซลล์ตับถูกทำลายลง และสุดท้ายในระยะที่ 4 เมื่อเซลล์ตับถูกทำลายลงไปอย่างมากจนไม่สามารถทำงานได้ปกติอีกต่อไป ก็จะทำให้เกิดเป็นอาการตับแข็ง และอาจจะกลายเป็นมะเร็งตับในที่สุด
จะเห็นได้ว่าอาการไขมันพอกตับค่อนข้างที่จะรุนแรง และมีผลกระทบอย่างยิ่งต่อการใช้ชีวิต ดังนั้นการพยาบาลป้องกันภาวะไขมันพอกตับจึงกลายเป็นเรื่องที่ควรที่จะต้องทำ ไม่ว่าจะเป็น การพยายามควบคุมน้ำหนักของตนเอง ออกกำลังกายเป็นประจำ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพิ่มผักถั่วและธัญพืชเข้าไปในมื้ออาหาร และลดไขมันที่ไม่ดีออกไป โดยเน้นไขมันที่มีคุณค่าทางอาหารสูง เช่น ไขมันปลาโอเมก้า 3 อะโวคาโด หรือน้ำมันมะกอก เป็นต้น เข้ามาแทนที่
เชื่อเหลือเกินว่าหากคุณได้มีวิธีการในการดูแลตับอย่างถูกต้องและเข้มงวดกับตัวเองเสมอ คุณก็จะปราศจากภาวะไขมันพอกตับได้อย่างแน่นอน